บทบาทมุสลิมะฮฺต่อเพื่อนและพี่น้องแห่งอิสลาม ตอนที่ 1
Source: หนังสือ Ideal Muslimah : The Muslim Woman and her friends and sisters in Islam
แปลโดย บินติ อัลอิสลาม และเรียบเรียงโดย พี่สาวมุสลิมะฮฺใจดี
การมีความรักต่อพี่น้องเพื่ออัลลอฮฺ
ความสัมพันธ์ของมุสลิมะฮฺผู้ศรัทธาที่มีต่อเพื่อนและพี่น้องมุสลิมะฮฺของเธอนั้นแตกต่างจาก ความสัมพันธ์ที่สตรีทั่วไปมีต่อผู้คนในสังคม เนื่องจากความสัมพันธ์ของมุสลิมะฮฺนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นพี่น้องที่เป็นไปเพื่ออัลลอฮฺ การรักกันเพื่ออัลลอฮฺ นั้นเป็น “พันธะสัมพันธ์ขั้นสูงสุด” หรือ “ความผูกพันขั้นสูงสุด” ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็น “บุรุษ” หรือ “สตรี” ก็ตาม นั่นคือ “พันธะสัมพันธ์แห่งความศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ” ซึ่งพระองค์ทรงทำให้เกิดขึ้นระหว่างผู้ศรัทธาทั้งหลาย ดังที่พระองค์ตรัสว่า
“แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน” (อัลหุจญร๊อต 49:10)
ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่เกิดจากความศรัทธานั้น เป็น “ความสัมพันธ์ที่มั่นคงที่สุด” อันเกิดจาก “หัวใจ” และ “สติปัญญา” จึงไม่น่าแปลกใจที่จะพบว่า บรรดามุสลิมะฮฺต่างมีความสุข และมีความพึงพอใจต่อความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องอันมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของ “ความรักเพื่ออัลลอฮฺ” อันเป็นรูปแบบของความรักที่ประเสริฐและบริสุทธิ์ที่สุดระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เป็นความรักที่ปราศจากมลทิน ไร้ซึ่งผลประโยชน์ทางโลก หรือจุดประสงค์ซ่อนเร้นใดๆ อีกทั้งยังเป็น “ความรัก” ที่ทำให้บรรดามุสลิมะฮฺและมุสลิมีนต่างได้รับรสชาติความหอมหวานแห่งความศรัทธา
“บุคคลใดก็ตามที่บรรลุผลสำเร็จจาก 3 สิ่งเหล่านี้ได้ เขาจะได้พบกับความหอมหวานแห่งความศรัทธา:
1) หากอัลลอฮฺ และ ศาสนทูตของพระองค์เป็นที่รักของเขามากกว่าผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
2) หากเขารักบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพื่ออัลลอฮฺ ตะอาลา
3) และเมื่อเขามีความเกลียดต่อการกลับไปสู่การเป็น “กาเฟรฺ” (ผู้ปฏิเสธศรัทธา) หลังจากที่อัลลอฮฺได้ทรงช่วยเหลือเขาจากมัน เท่ากับการที่เขาเกลียดการถูกโยนลงไปในไฟนรก” (บุคอรีย์ และมุสลิม)
สถานะของคนสองคนที่มีความรักต่อกันเพื่ออัลลอฮฺ
มีหลายหะดีษที่รายงานเกี่ยวกับสถานะของคนสองคนที่รักกันเพื่ออัลลอฮฺ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็น “บุรุษ” หรือ “สตรี” ก็ตาม และในหะดีษเหล่านั้นได้บรรยายถึงตำแหน่งสูงสุดในสวนสวรรค์ ที่อัลลอฮฺทรงเตรียมไว้ให้แก่พวกเขา และเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์จะทรงประทานแก่เขาในวันที่มวลมนุษย์ถูกทำให้ฟื้นขึ้นต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้าแห่งสากลโลก
ถือเป็นเกียรติยิ่งสำหรับบรรดาผู้มีความรักต่อมนุษย์ด้วยกันเพื่ออัลลอฮฺ ซึ่งทั้ง “บรรดาบุรุษ” และ “บรรดาสตรี” ต่างทราบดีว่า พระเจ้าของเขาจะดูแลเขาในวันแห่งการตัดสินและพระองค์จะตรัสว่า “ผู้ที่มีความรักซึ่งกันและกันเพื่อความพึงพอใจของข้าอยู่ ณ ที่ใด? วันนี้ข้าจะให้การปกป้องพวกเขาด้วยร่มเงาของข้า ในวันที่ไม่มีซึ่งร่มเงาใด นอกจากร่มเงาของข้า” (มุสลิม)
“เกียรติอันสูงส่งและรางวัลอันยิ่งใหญ่” จะถูกประทานแก่ผู้ที่มีความรักต่อกันด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺ ในวันแห่งความน่าสะพรึงกลัว (วันกิยามะฮฺ)
การมี “ความรัก” เพื่ออัลลอฮฺ โดยมิได้ “รัก” เพื่อสิ่งอื่นใดเลยในชีวิตบนโลกดุนยานี้ ถือเป็นเรื่องที่กระทำได้ยากนัก และไม่มีผู้ใดสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ นอกจากผู้ที่มีหัวใจอันบริสุทธิ์หรือผู้ที่เชื่อว่า “แท้จริงแล้ว โลกนี้ ความเพลิดเพลิน ความน่าพอใจทั้งหลาย ณ ดินแดนแห่งนี้นั้น เป็นความว่างเปล่าและไม่มีค่าใดๆ เลย เมื่อเปรียบกับความพอใจของอัลลอฮฺ”
ไม่ใช่เรื่องแปลก หากอัลลอฮฺ จะทรงประทานแก่ผู้คนเหล่านี้ซึ่ง สถานะและการอำนวยพรอันประเสริฐ ที่พวกเขาควรได้รับเมื่อเปรียบกับการใช้ชีวิตของเขาบนโลกดุนยานี้ (เพื่อพระองค์) จากหลักฐานในหะดีษของท่านมูอ๊าซ
ท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “อัลลอฮฺตรัสว่า “บรรดาผู้ที่ให้ความรักต่อกันเพื่อความพอใจของข้า จะมี “มิมบัรฺ” (แท่นสำหรับการกล่าวบรรยายธรรม) แห่งแสงสว่าง และบรรดานบีและชะฮีด (ผู้เสียสละชีวิตในหนทางของอัลลอฮฺ) จะอวยพรแก่พวกเขาให้ได้รับเช่นเดียวกัน (กับที่บรรดานบีและชะฮีดได้รับ)” (ติรมิซียฺ)
อัลลอฮฺ จะทรงประทานรางวัลอันยิ่งใหญ่กว่าสถานะและคำอำนวยพรต่างๆ แก่บรรดาผู้ที่ให้ความรักต่อกันและกันเพื่อความพอใจของพระองค์ ด้วย “ความรักอันล้ำค่าของพระองค์ซึ่งยากแก่การได้มา” โดยมีหลักฐานจากหะดีษของท่านอบู ฮูร็อยเราะฮฺว่า ท่านศาสนทูต กล่าวว่า
“มีชายคนหนึ่งได้เดินทางไปเยี่ยมพี่น้องของเขา ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงได้ส่งมลาอิกะฮฺให้ไปรอชายผู้นั้นตรงข้างทาง เมื่อชายผู้นั้นเดินผ่านมา มลาอิกะฮฺได้ถามเขาว่า “ท่านกำลังจะเดินทางไป ณ ที่ใดหรือ” เขาตอบว่า “ฉันกำลังจะไปเยี่ยมพี่ชายของฉัน เขาอาศัยในหมู่บ้านนี้” มลาอิกะฮฺถามต่อว่า “ท่านได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่เขา (เพื่อให้ได้มาซึ่งการตอบแทนจากเขา) หรือไม่?” เขาตอบว่า “ไม่ ฉันเพียงแค่รักเขาเพื่ออัลลอฮฺ” มลาอิกะฮฺจึงกล่าวว่า “ฉันเป็นผู้นำสาส์นจากอัลลอฮฺมายังท่าน พระองค์ได้ให้ฉันมาบอกแก่ท่านว่า พระองค์ทรงรักท่านดั่งที่ท่านรักพี่น้องของท่านเพื่อพระองค์” (มุสลิม)
ช่างเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้ “ความรัก” ที่ทำให้บุคคลหนึ่งนั้นอยู่ในสถานะ ที่อัลลอฮฺ ทรงรักและพอใจในตัวเขา
ท่านนบีมุหัมมัด นั้นมีความเข้าใจถึง “ความมั่นคงและอิทธิพลของความรักนี้” เป็นอย่างดี “ความรักอันบริสุทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดการสร้างสังคมและชนชาติต่างๆ” ดังนั้นท่านจึงไม่เคยปล่อยให้โอกาสต่างๆ ผ่านพ้นไปโดยไม่ได้สนับสนุนให้เกิด “ความรัก” ต่อกัน รวมไปถึงการสั่งให้บรรดามุสลิมแสดงความรักต่อกัน (ด้วยวาจา) เพื่อเป็นการเปิดใจและมอบความรักและความบริสุทธิ์ในหมู่ประชาชาติมุสลิม (อุมมะฮฺ)
ท่านอนัส กล่าวว่า “ได้มีชายคนหนึ่งอยู่กับท่านนบีมุหัมมัด และเมื่อชายอีกคนหนึ่งได้เดินผ่านมา ชายคนแรกได้กล่าวว่า “โอ้ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ แท้จริงแล้ว ฉันรักชายผู้นี้” ท่านนบีจึงถามเขาว่า “แล้วท่านเคยบอกให้เขาทราบหรือไม่?” เขาตอบว่า “ไม่เคย” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “จงบอกแก่เขา” ดังนั้นชายผู้นั้นจึงตามชายอีกคนไปและบอกแก่เขาว่า “แท้จริงแล้วฉันนั้นรักท่านเพื่ออัลลอฮฺ” ชายอีกคนจึงกล่าวว่า “ขออัลลอฮฺ ทรงรักท่าน ผู้ซึ่งรักฉันเพื่อความพอใจของพระองค์” (อบู ดาวูด)
ท่านศาสนทูตมุหัมมัด ก็เคยกระทำสิ่งเดียวกันนี้ ท่านได้สอนบรรดามุสลิมถึงวิธีการสร้างความสัมพันธ์อันมีพื้นฐานอยู่บน “ความรักอันบริสุทธิ์” และ “ความเป็นพี่น้องกัน”
วันหนึ่งท่านได้จูงมือมูอ๊าซไปและกล่าวว่า
“โอ้ มูอ๊าซ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ฉันนั้นรักท่าน เพราะเหตุนี้ ฉันจึงตักเตือนท่าน โอ้..มูอ๊าซ จงอย่าลืมที่จะกล่าวหลังการละหมาดทุกๆ ครั้ง ของท่านว่า
اَللَّهُمَّ أَعِنِّيْ عَلَى ذِكْرِكَ وَشُكْرِكَ وَحُسْنِ عِبَادَتِكَ (อ่านว่า อัลลอฮุมมะ อะอินนียฺ อะลาซิกริกะ วะชุกริกะ วะหุสนิอิบาดะติกะ)
“โอ้อัลลอฮฺ โปรดทรงช่วยทำให้ฉันนั้นระลึกถึงพระองค์ ขอบคุณพระองค์และทำการสักการะต่อพระองค์อย่างสมบูรณ์ด้วยเถิด” (รายงานโดยอะหมัด เศาะหิฮฺอิสนาด)
ท่านมูอ๊าซได้เริ่มทำการเผยแพร่ความรักอันบริสุทธิ์นี้ในหมู่มุสลิมในดินแดนของมุสลิม โดยการบอกกล่าวแก่พวกเขาถึงสิ่งที่ท่านได้รับการถ่ายทอดจากนบีมุหัมมัด เกี่ยวกับรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่ อัลลอฮฺ ได้ทรงเตรียมไว้แก่บรรดาผู้ที่มีความรักต่อกันเพื่อพระองค์ รวมไปถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อพวกเขา
ในอัลมุวัฏฏออฺ, อิมาม มาลิกได้รายงานในเศาะหิฮฺ จากอบู อิดริส อัล-กอลานียฺ ผู้กล่าวว่า :
“ฉันเข้าไปในมัสยิดแห่งดามัสกัส ฉันได้พบกับชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มสว่างสดใส และได้พบว่ามีผู้คนรายล้อมเขาที่นั่น เมื่อพวกเขามีความเห็นไม่พ้องกันในเรื่องหนึ่ง พวกเขาก็จะนำเรื่องดังกล่าวไปยังชายหนุ่มผู้นั้น และยอมรับความคิดเห็นของเขา ฉันจึงถามพวกเขาว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร และพวกเขากล่าวแก่ฉันว่า “นี่คือ มูอ๊าซ อิบนุ ญะบัล ในตอนรุ่งเช้าของวันต่อมา ฉันก็ไปยังมัสยิดแห่งเดิมอีกและพบว่าชายหนุ่มผู้นั้นไปถึงก่อนฉัน ขณะนั้นเขากำลังละหมาด ฉันจึงรอจนกระทั่งเขาละหมาดเสร็จ และเข้าไปหาเขาข้างหน้า พร้อมทักทายโดยกล่าวว่า “ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ฉันนั้นรักท่าน” เขาถามว่า “เพื่ออัลลอฮฺกระนั้นหรือ?” ฉันตอบเขาว่า “เพื่ออัลลอฮฺ” เขาย้ำคำถามเดิม “เพื่ออัลลอฮฺกระนั้นหรือ?” และฉันก็กล่าวว่า “เพื่ออัลลอฮฺ” ดังนั้นเขาจึงดึงคอเสื้อฉันและดึงตัวฉันให้ชิดเขาและกล่าวว่า “ฉันมีข่าวดีแก่ท่าน ฉันได้ยินท่านศาสนทูตมุหัมมัด กล่าวว่า “อัลลอฮฺตรัสว่า “ความรักของข้าจะถูกมอบให้แก่บรรดาผู้ที่มีความรักต่อกันเพื่อข้า ผู้ที่เยี่ยมเยียนกันเพื่อข้า ผู้ที่ใช้จ่ายแก่กันเพื่อข้า” (มาลิก)
สิ่งที่ได้รับจากการมี “ความรักเพื่ออัลลอฮฺ” ในชีวิตของมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺ
“อิสลาม” ได้ถูกบังเกิดมาเพื่อสร้างสังคมในโลก ด้วยพื้นฐานที่ตั้งอยู่บนความรักที่จริงใจและความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง เช่นนั้นแล้วจึงต้องมีการเพาะเมล็ดพันธ์แห่งความรักในหัวใจของแต่ละคนในสังคม ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ “ความรักในหมู่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง” เป็นหนึ่งในเงื่อนไขของ “ความศรัทธา” ที่จะนำเราเข้าสู่สวนสวรรค์ ซึ่งมีการกล่าวไว้ในหะดีษรายงานโดยมุสลิม จากการบอกเล่าของท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺว่า ท่านศาสนทูตมุหัมมัด ได้กล่าวว่า
“ขอสาบานกับผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า พวกท่านจะไม่ได้เข้าสวรรค์จนกว่าพวกท่านจะศรัทธา และพวกท่านจะไม่ศรัทธาจนกว่าท่านจะรักซึ่งกันและกัน ฉันควรจะบอกแก่พวกท่านหรือไม่ ถึงสิ่งที่หากพวกท่านกระทำแล้ว พวกท่านจะมีความรักซึ่งกันและกัน? จงกล่าว “สลาม” ในหมู่พวกท่านเถิด” (มุสลิม)
ด้วยความเฉลียวฉลาดและความเข้าใจในสิ่งต่างๆ อย่างลึกซึ้งของท่านศาสนทูตมุหัมมัด ทำให้ท่านเข้าใจดีว่าไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถขจัดความโกรธ ความอิจฉาริษยาและความเป็นศัตรู ออกจากหัวใจของผู้คนได้ นอกจากความเป็นพี่น้องอันเกิดจากความรักที่จริงใจ ความสัมพันธ์อันดี และคำแนะนำตักเตือนต่อกัน อันปราศจากซึ่งความอาฆาตบาดหมาง ความเกลียดชัง ความไม่จริงใจ อีกทั้งความริษยา และหนทางที่จะทำให้เราบรรลุถึงสิ่งนี้ได้คือการกล่าว “สลาม” ต่อกัน เพื่อทำให้หัวใจเราถูกเปิดออกและนำเราไปสู่ความรักที่บริสุทธิ์และความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพราะเหตุนี้ ท่านศาสนทูตจึงมักจะพร่ำสอนถึงสิ่งนี้ต่อบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านอยู่เสมอ โดยมีจุดประสงค์เพื่อหว่านเมล็ดพันธ์แห่งความรักในจิตใจของเขาและเอาใจใส่เลี้ยงดูพวกเขาอย่างดี จนกว่าพวกเขาจะสามารถผลิตดอกผลแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ที่ “ศาสนาอิสลาม” ต้องการให้เกิดแก่เหล่าบรรดามุสลิมะฮฺ และมุสลิมีน
เนื่องด้วยความรักอันบริสุทธิ์นี้ ท่านศาสนทูต ได้สร้างประชาชาติมุสลิมในยุคแรก ผู้เป็นดั่งรากฐานอันมั่นคงบนโครงสร้างที่แข็งแกร่งแห่งอิสลาม อีกทั้งจุดแสงสว่างเพื่อนำทางแก่ประชาชาติรุ่นต่อไปให้ดำเนินรอยตาม
ความรักอันบริสุทธิ์นี้ ท่านศาสนทูต สามารถสร้างสังคมมนุษย์อันเป็นแบบอย่าง ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นพี่น้องร่วมศรัทธา สังคมที่เคยมีความโดดเด่นในเรื่องของความแข็งแกร่งมั่นคง และศักยภาพในการพลีชีพในการทำญิฮาดเพื่อเผยแพร่อิสลามไปทั่วโลก และความสามัคคีในหมู่สมาชิก ที่ซึ่งท่านได้บรรยายไว้อย่างน่ามหัศจรรย์ว่า
“ผู้ศรัทธาต่างเปรียบดัง “อิฐ” ซึ่งอิฐก้อนหนึ่งจะช่วยค้ำจุนอิฐอีกก้อนหนึ่ง” (เปรียบเสมือนผู้ศรัทธาที่คอยให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน) (บุคอรีย์ และมุสลิม)
“ผู้ศรัทธา ความสัมพันธ์ฉันท์มิตร ความเมตตา ความรักใคร่ สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนอวัยวะอันเป็นส่วนประกอบของ “ร่างกาย” หากส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่อง อวัยวะส่วนอื่นๆ ย่อมได้รับความเจ็บปวด” (บุคอรียฺ มุสลิม อะหมัด และอิบนุ ฮิบบาน)
จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสุดท้ายของประวัติศาสตร์ มุสลิมะฮฺมักจะมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมของอิสลามอันอยู่บนพื้นฐานของการเป็นพี่น้องร่วมศรัทธา และถึงวันนี้พวกเธอก็ยังคงคอยให้ความช่วยเหลือในการมอบความรักที่มีค่าในสังคมมุสลิมเพื่ออัลลอฮฺ และพวกเธอก็กลับไปสู่พี่น้อง เพื่อนฝูงด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นเพื่อสร้างความมั่นคงแข็งแกร่งต่อความรักพร้อมทั้งสานความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องมุสลิมด้วยกันเพื่ออัลลอฮฺ
May 29, 2010
Leave a Reply