Feeds:
Posts
Comments

แหล่งที่มา เพจ GMB Akash /แปล บินติ อัล อิสลาม
​ผมไม่เคยบอกลูกๆ ของผมเลยว่าผมทำงานอะไร ผมไม่ต้องการให้พวกเขาเกิดความรู้สึกอับอายเพราะผม เมื่อครั้งที่ลูกสาวคนเล็กของผมถามผมว่า ผมทำงานอะไร ผมได้แต่ตอบเธอไปอย่างกระอักกระอ่วนว่าผมเป็นคนทำงานแรงงาน 

ก่อนที่ผมจะกลับบ้าน ผมมักจะอาบน้ำในห้องน้ำสาธารณะ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ไม่สงสัยว่าผมทำงานอาชีพอะไร ผมอยากส่งลูกสาวของผมทุกคนไปเรียนที่โรงเรียน ได้รับการศึกษา ผมอยากให้พวกเขายืนต่อหน้าผู้คนด้วยความภาคภูมิใจ ผมไม่อยากให้ใครดูถูกพวกเขาเหมือนที่ผู้คนดูถูกผม ผู้คนมักจะดูถูกดูแคลนผมเสมอ ผมจึงลงทุนเงินทุกๆ เศษสตางค์จากการทำงานของผมเพื่อการศึกษาของลูก ผมไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ แต่ใช้จ่ายเงินไปกับหนังสือเรียนให้พวกเขา 

มีเพียง “การเคารพ การให้เกียรติ” เท่านั้นที่ผมอยากให้พวกเขาหามันมาให้ผม อาชีพของผม คือ “คนทำความสะอาด” 

หนึ่งวันก่อนวันสุดท้ายของการจ่ายค่าลงทะเบียนของวิทยาลัยที่ลูกสาวของผมคนหนึ่งเรียนอยู่ ผมไม่สามารถหาเงินมาจ่ายให้เธอได้ วันนั้นผมไม่สามารถทำงานได้เลย ผมได้แต่นั่งอยู่ข้างๆ กองขยะ และพยายามไม่ให้ใครเห็นน้ำตาของผม ผมลุกขึ้นมาทำงานไม่ได้เลย เพื่อนร่วมงานของผมมองดูผม แต่ไม่มีใครเข้ามาคุยกับผม ผมล้มเหลว หัวใจสลาย และไม่รู้ว่าผมจะเผชิญหน้ากับลูกสาวผมอย่างไร เพราะเธอคงจะถามถึงค่าลงทะเบียนเรียน เมื่อผมกลับถึงบ้าน  

ผมเกิดมาเป็นคนยากจน “ไม่มีสิ่งดีๆ ใด ที่จะเกิดกับคนจนๆ ได้” นั่นคือ ความเชื่อของผม หลังจากเลิกงานวันนั้น เพื่อนร่วมงานที่เป็นคนทำความสะอาดทั้งหมดมาหาผม นั่งข้างๆ ผม และถามผมว่า “ผมเห็นว่า พวกเขาเป็นพี่น้องของผมหรือไม่” ก่อนที่ผมจะตอบอะไรออกไป พวกเขาก็ยื่นรายได้จากการทำงานทั้ง 1 วันนั้นของพวกเขาใส่ในมือผม  เมื่อผมปฏิเสธที่จะรับ พวกเขาก็ยืนกรานว่า “พวกเราจะยอมอดวันนี้หากจำเป็น แต่ลูกสาวของพวกเราต้องได้ไปเรียนหนังสือ” ผมพูดอะไรต่อไม่ออก วันนั้นผมไม่ได้อาบน้ำก่อนกลับบ้าน เช่นที่เคยทำ วันนั้นผมกลับไปบ้านในสภาพของคนทำความสะอาด 

ตอนนี้ลูกสาวคนหนึ่งของผมกำลังจะเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว และลูกสาวอีกสามคนไม่ยอมให้ผมกลับไปทำงานอีก คนหนึ่งทำงานพาร์ทไทม์ ส่วนอีกสามคนก็หารายได้ด้วยการรับสอนพิเศษ  แต่บ่อยครั้งที่ลูกสาวของผมจะพาผมไปที่สถานที่ทำงานเก่าของผม และเอาอาหารไปเลี้ยงเพื่อนร่วมงานผม พวกเขามักจะหัวเราะและถามเธอว่าทำไมต้องเลี้ยงอาหารพวกเขาอยู่บ่อยๆ และลูกสาวของผมตอบว่า

“เพราะคุณลุงทุกคนยอมอดอาหารเพื่อหนูในวันนั้น เพื่อที่จะให้หนูได้เป็นหนูในวันนี้ ได้โปรดขอพรดุอาอฺให้หนูมีความสามารถที่จะเลี้ยงอาหารทุกๆ คน ในทุกๆ วันด้วยนะคะ” 

ทุกวันนี้ผมไม่รู้สึกว่าผมเป็นคนยากจนอีกต่อไป 

🍃🍃”ใครก็ตามที่มีลูกเช่นนี้ เขาจะยากจนได้อย่างไร”🍃🍃

▪เรื่องราวของอิดรีส▪ รูปจากเพจ 

เวลาที่เห็นใครสักคนกำลังทำอะไรบางอย่าง เราอย่าเพิ่งรีบตัดสินการกระทำของเขา ให้พยายามคิดถึงความเป็นได้ของเหตุผลที่ซ่อนอยู่ 

มุฟตี เมงก์ยกตัวอย่างว่า

▪เมื่อครั้งที่ท่านมีโอกาสไปเล่นเจ็ทสกี กับลูกศิษย์ และได้ลงรูปในอินสตาแกรม มีคนมาคอมเม้นต์ตำหนิเชิงประชดประชันว่า “เฮ้ออ ขอให้สนุกนะ” หรือบางคนก็พูดว่า คุณเป็นชัยคฺ คุณจะมาทำตัวสนุกสนานแบบนี้ไม่ได้

>>ทั้งที่จริงๆ ท่านใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเพื่อการพักผ่อน ในขณะที่ตารางงานของท่านนั้นเต็ม และยุ่งมาก 

▪เมื่อมีการโพสต์รูปที่ท่านกำลังละหมาดที่ชายทะเล ก็มีคนมาตำหนิท่านว่า “ทำไมต้องโอ้อวดการทำอิบาดะฮฺให้ทั่วโลกรับรู้ แล้วคนที่ถ่ายรูป ทำไมไม่มาละหมาด” 

>>ทั้งที่จริงๆ คนที่ถ่าย คือเด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่มีให้สั่งให้เขาถ่าย และเมื่อท่านเห็นรูป ท่านก็เกิดความคิดว่า ท่านต้องการส่งเสริมให้ผู้คนที่อาจจะออกไปเที่ยวไปผ่อนคลายนอกบ้าน หรือไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ให้รักษาการละหมาด เมื่อถึงเวลาละหมาด ท่านจึงโพสต์มันขึ้นมา 

ในความเป็นจริงนั้น คนเราสามารถแสวงหาความบันเทิงและความสนุกสนาน (ที่หะลาล) ได้ ตราบใดที่มันไม่ทำให้เขาหลงลืมอัลลอฮฺ หรือทำให้เขาออกห่างจากพระองค์

มันไม่ได้หมายความว่า ในการที่ท่านเป็นฮาฟิซ ท่านจะพักผ่อนและหาความสนุกสนาน (ที่หะลาล) ไม่ได้

อีกทั้ง การที่พี่น้องในอีกมุมโลกหนึ่งกำลังทนทุกข์ทรมาน ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่สามารถมีความสุขได้ ในขณะเดียวกัน เราไม่ลืมพวกเขา และช่วยเหลือพวกเขาในหนทางที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และอาจจะมากกว่าคนที่ตำหนิเสียอีก 

ท่านยกตัวอย่างอีกว่า 

▪ครั้งหนึ่งท่านโพสต์รูปพี่ชายคนหนึ่งที่อยู่ดูไบและเป็นอัมพาต และท่านก็ถูกตำหนิว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นไม่ถูกต้อง “ทำไมถึงเอารูปเขามาโชว์ เขาจะรู้สึกเช่นไรถ้าเห็นคุณโพสต์รูปเขา”

>>ทั้งที่จริงๆ พี่ชายท่านนั้นเป็นคนขอให้ท่านโพสต์เองเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้มุสลิมท่านอื่น ให้เป็นบทเรียนแก่พวกเขา ให้พวกเขาซาบซึ้งในสิ่งที่มีและให้ช่วยดุอาอให้เขา

————

ดังนั้น เราอย่าเป็นคนที่คอยจับผิดในสิ่งที่ผู้คนกำลังทำ และมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบ เพราะแท้จริงมันอาจมีเหตุผลบางอย่างที่ซ่อนอยู่

เรียบเรียงบางส่วนจากการบรรยายหัวข้อ IMPROVING YOURSELF /โดย Bint Al Islam

รูปจาก อินเตอร์เนต

🍀🍀🍀เรื่องราวของอิหม่ามบุคอรีย์🍀🍀🍀 ที่จะทำให้คุณอยากอ่านหะดีษที่ท่านบันทึกอีกครั้ง

แปลเรียบเรียงจากคลิป The genius: Imam Al bukhari (by Daily reminders) โดย Bint al Islam

🌿อิหม่ามบุคอรียฺ🌿 มีชื่อเต็มว่า 🌿อบู อับดัลลอฮฺ มุหัมมัด อิบนุ อิสมาอีล อิบนุ อิบรอฮีม อิบนุ อัลมุฆีเราะฮฺ อิบนุ บัรดิซบะฮฺ อัล ญุฟียฺ อัล บุคอรียฺ 

🌿ชื่อจริงของท่านคือ 🌿มุหัมมัด 🌿

ทวดของท่าน ▪อัลมุฆีเราะฮฺ▪ ได้เข้ารับอิสลามในสมัยเศาะฮาบะฮฺ 

อิหม่ามบุคอรียฺ มาจากเมืองหนึ่งที่ชื่อ ▪บุคอเราะฮฺ ▪ ซึ่งอยู่ประเทศอุสเบกิสถาน  ดังนั้น อิหม่ามบุคอรียฺ จึงมีเชื้อสายเปอร์เซีย ท่านมีรูปร่างเช่นชาวเปอร์เซีย และใช้ภาษาเปอร์เซียเป็นภาษาแม่ อย่างไรก็ตามท่านก็มีความสามารถพูดภาษาอาหรับได้อย่างคล่องแคล่ว 

ชื่อ บุคอรียฺ ไม่ใช่ชื่อจริงของท่าน แต่มันมาจากชื่อเมืองที่ท่านเคยอาศัยอยู่ ท่านเกิดประมาณวันที่ 12-13 เชาวาล ปี 194 ซึ่งเป็นวันศุกร์ ญุมอะฮฺ 

ในช่วงวัยเด็กของท่านนั้น มีสองเหตุการณ์สำคัญได้เกิดขึ้นกับท่าน นั่นคือ 

🍃หนึ่ง บิดาของท่านได้เสียชีวิต

🍃สอง ดวงตาของท่านมืดบอดลงเมื่อมีอายุได้ 3 ขวบ

มารดาของท่าน เป็นสตรีที่รักการทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺอย่างมาก และเมื่อ อิหม่ามบุคอรียฺสูญเสียการมองเห็นในวัยสามขวบ มารดาของท่านได้อุทิศตนไปกับการละหมาดตะฮัจญุดทุกค่ำคืน และวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺให้ทรงประทานการมองเห็นคืนให้กับลูกชายของนาง 

อิหม่ามบุคอรียฺสูญเสียการมองเห็นเป็นระยะเวลาประมาณ 2  ปี แต่มารดาของท่านก็ยังคงไม่ย้อท้อ หรือหมดหวังในอัลลอฮฺ นางเฝ้าวิงวอน ขอต่ออัลลอฮฺอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งคืนหนึ่ง นางฝันเห็นนบีอิบรอฮีม นางฝันว่านบีอิบรอฮีมมาพบนาง และบอกนางว่า “อัลลอฮฺทรงประทานข่าวดีแก่เธอ พระองค์ได้ทรงประทานการมองเห็นคืนให้กับลูกของเธอ อันเนื่องมาจากการดุอาอฺของเธอ” ดังนั้นเมื่อนางตื่นขึ้น นางจึงเข้าไปปลุกลูกชายของนาง เมื่ออิหม่ามบุคอรียฺลืมตาขึ้น ท่านมองไปรอบๆ ท่านเห็นทุกอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันก็เกิดความสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น 

🍃อิหม่ามบุคอรียฺกลับมามองเห็นอีกครั้ง ด้วยเพราะดุอาอฺของมารดาของท่าน🍃

อิหม่ามบุคอรียฺมีความจำที่ดีตั้งแต่ยังเยาว์วัย และตอนที่ท่านยังเด็ก ท่านเคยฝันว่าท่านเดินตามหลังท่านนบี มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และทุกๆ ครั้งที่นบีวางเท้าลง อิหม่ามบุคอรียฺก็จะวางเท้าลงตามท่านเช่นกัน ซึ่งความฝันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ตัวท่านเองที่ฝัน หากทว่ายังมีนักวิชาการท่านอื่นๆ ด้วยที่ฝันเห็นเหมือนกับท่าน 

เมื่อท่านอายุ 16  ปี อิหม่ามบุคอรียฺ พร้อมกับมารดาและพี่ชายได้เดินทางไปทำฮัจญ์ ในสมัยนั้น “ฤดูการทำฮัจญ์” เปรียบเสมือนกับมหาวิทยาลัยนานาชาติของมุสลิม เมื่อเสร็จสิ้นการทำฮัจญ์ ท่านได้ขอร้องมารดาให้กลับไปพร้อมกับพี่ชายของท่าน และท่านขอใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นต่อ และมารดาของท่านได้อนุญาตให้ท่านอยู่ต่อ ซึ่งก่อนที่ท่านจะจากเมืองบุคอเราะฮฺมา ท่านไม่ได้วางแผนเช่นนั้น แต่เมื่อท่านได้เห็นเมืองมักกะฮฺ ท่านจึงเกิดความคิดที่จะอยู่ต่อ 

เมื่อท่านอายุได้ 18 ปี ท่านได้เขียนหนังสือเล่มแรก ซึ่งมีเก้าบท มีชื่อที่มีความหมายว่า “ความปรารถนาของมนุษย์” และหนังสือเล่มนี้ยังถูกใช้เป็นคู่มืออ้างอิงในการค้นหาชื่อ สถานที่ ชีวประวัติ สำหรับนักวิชาการหะดีษมากมายในปัจจุบัน 

ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไปยังเมืองแบกแดด เพื่อแสวงหาความรู้กับอิหม่าม อิบนุ ฮัมบาล นักวิชาการด้านหะดีษที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น ขณะนั้นอิหม่ามบุคอรียฺมีอายุประมาณ 20 ปี และอิหม่ามอะหมัดมีอายุประมาณ 60-70 ปี อิหม่ามอะหมัดเคยกล่าวว่า “ฉันไม่เคยพบเห็นใครที่มาจากเมืองคุรอซาน (เมืองใหญ่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอิรัก อีหร่าน และอัฟกานิสถาน) ที่จะเหมือนกับมุหัมมัด อิบนุ อิสมาอีล (ซึ่งหมายถึงอีหม่ามบุคอรี)”

อีหม่ามบุคอรียฺมีความสามารถในการจดจำภาพได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่นว่า ท่านมองเห็นหะดีษเพียงครั้งเดียวก็สามารถจำได้ โดยไม่จำเป็นต้องจดบันทึก อิหม่ามอิบนุ กะษีร เคยบรรยายคุณลักษณะของท่านไว้ว่า

“อิหม่ามบุคอรียฺสามารถอ่านหะดีษหนึ่งหน้าเพียงครั้งเดียว  และสามารถจดจำมันได้ตราบเท่าที่ท่านมีชีวิตอยู่”

ขณะนั้นมีหลายคนประหลาดใจกับความสามารถของท่าน แม้แต่บรรดาผู้รู้ นักวิชาการเอง ก็แทบจะไม่เชื่อในความสามารถนั้น จนกระทั่งได้มีการทดสอบความรู้ความจำครั้งใหญ่ของท่านในขณะที่ท่านอายุ 30 ปี และท่านก็ได้พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นถึงความสามารถของท่าน  

อิบนุ ฮะญัรฺ เคยกล่าวว่า

“สิ่งที่น่าอัศจรรย์ของอิหม่ามบุคอรียฺนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ความสามารถในการจดจำหะดีษที่ถูกต้องได้ หากทว่าท่านยังสามารถจดจำหะดีษที่ผิดได้ ภายหลังจากการได้รับฟังเพียงครั้งเดียว” 

🍃🍃แรงบันดาลใจในการเขียน เศาะเหียะฮฺบุคอรียฺของอีหม่ามบุคอรียฺ🍃🍃

 

ในขณะที่ท่านยังเป็นหนุ่ม ท่านเคยฝันเห็นว่า ท่านยืนอยู่ข้างหน้านบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และได้มียุงบินเข้ามา ซึ่งอิหม่ามบุคอรียฺที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ทำการปัดยุงออกไป เพื่อปกป้องนบีให้พ้นจากยุง 

เมื่อท่านตื่นขึ้นมา ท่านได้ถามชัยคฺของท่านถึงความหมายของความฝันนั้น ชัยคฺของท่านได้บอกท่านว่า “ท่านจะเป็นผู้ทำการกำจัดหะดีษหลอกลวงทั้งหลาย เช่นที่ท่านกำจัดยุงเหล่านั้น งานของท่านในชีวิตนี้ คือการปกป้องนบีจากยุง (จากหะดีษปลอม)” ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อิหม่ามบุคอรียฺมีความปรารถนาที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหะดีษ และภายหลังท่านก็ได้รับแรงบันดาลใจจากอาจารย์ของท่าน คือ อิสฮาก อิบนุ เราะฮฺวัยฮฺ ผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหะดีษ ชาวเปอร์เซีย ซึ่งเคยพูดว่า “มันน่าจะเป็นความคิดที่ดีหากว่าใครสักคนมุ่งเน้นไปที่การเขียนบันทึกหะดีษเศาะเหียะฮฺ”  ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงเป็นแรงบันดาลใจให้อีหม่ามบุคอรียฺ เขียน “เศาะเหียะฮฺบุคอรียฺ” ขึ้นมา 

ท่านใช้เวลาทั้งหมด 16  ปีในการเขียน “เศาะเหียะฮฺบุคอรียฺ” ท่านรวบรวมหะดีษเบื้องต้นขณะที่ท่านอยู่ที่เมืองบัศเราะฮฺ ซึ่งท่านได้อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลา 5 ปี และท่านได้ไปทำฮัจญ์ทุกๆ ปี ท่านได้ทำวินิจฉัย คัดกรองหะดีษ มากกว่า 6,000 หะดีษ เพื่อเขียนออกมาเป็นหนังสือ และช่วงปีท้ายๆ ของการเขียน ท่านได้ย้ายไปยังเมืองมาดีนะฮฺ เพราะท่านต้องการได้รับความจำเริญในการอาศัยอยู่ในเมืองมาดีนะฮฺ และท่านได้ใช้เวลาไปกับการตรวจทาน แก้ไข ทั้งวันทั้งคืน ท่านทุ่มเท อุทิศตนไปกับการเขียน เศาะฮฺเหียะฮฺบุคอรียฺ 

ภายหลังท่านได้บอกเล่าแก่บรรดาลูกศิษย์ของท่านว่า

🌱🌱ทุกๆ หะดีษแต่ละบทที่ท่านเลือก ท่านได้ทำการอาบน้ำละหมาดเป็นอย่างดีและละหมาดอิสติเคาะเราะฮฺ 2 ร็อกอัต ในแถวละหมาดของนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในการบันทึกแต่ละหะดีษ🌱🌱

🍃🍃ในช่วงบั้นปลายชีวิตของอิหม่ามบุคอรียฺ ท่านได้ทำธุรกิจค้าขายบางอย่าง ครั้งนั้นท่านออกเดินทางด้วยเรือไปยังอีกเมืองหนึ่ง พร้อมกับเงินจำนวน 10,000 ดิรฺนาร ขณะที่อยู่บนเรือ ท่านได้พบกับชายคนหนึ่งที่พูดคุยเป็นเพื่อนกับท่าน ท่านได้บอกเล่าให้เขาฟังว่าท่านมีเงินจำนวนเท่าไร และจะเอาไปซื้ออะไร เช้าวันรุ่งขึ้น มีข่าวแพร่ภายในเรือ และกัปตันก็ประกาศว่า”มีคนขโมยเงินจำนวน 10,000 ดิรนารของชายคนที่พูดคุยกับท่านเมื่อวันก่อน และจะมีการค้นหาเงินที่หายไปทั่วทั้งเรือว่าใครเป็นคนเอาไป”  แท้จริงๆ ชายคนนั้นเป็นคนที่มีพฤติกรรมชั่วร้าย เขายังไม่ได้เห็นเงินของอีหม่ามบุคอรียฺ แต่อย่างใด แต่มันก็ได้ล่อลวงเขาให้เกิดความโลภ เขาจึงคิดฉวยโอกาส

เมื่ออิหม่ามบุคอรียฺได้ยินประกาศเช่นนั้น ท่านจึงรวบรวมเงินทั้งหมดของท่าน และขึ้นไปยังจุดที่สูงสุดของเรือ เมื่อไม่มีใครเห็น ท่านก็โยนเงินทั้งหมดของท่านลงทะเล ดังนั้นเมื่อมีการตรวจค้นภายในเรือ จึงไม่มีใครพบเงินจำนวนดังกล่าว

และในภายหลังชายคนดังกล่าวได้เข้ามาพบท่าน และถามท่านว่า “ฉันรู้ว่าท่านไม่ใช่คนโกหก ท่านคืออีหม่ามบุคอรียฺ ท่านย่อมต้องมีเงินจริงเป็นแน่ ท่านซ่อนมันไว้ที่ใด?” 

อีหม่ามบุคอรียฺตอบเขาว่า ท่านได้โยนเงินนั้นทิ้งลงไปในทะเลแล้ว 

เขาถามท่านว่า “ท่านโง่เขลาหรืออย่างไร เพราะแม้ว่าฉันจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากมัน แต่ท่านก็ยังสามารถที่จะได้ประโยชน์จากมัน”

🌿🌿🌿ท่านตอบว่า

“ฉันใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อพิสูจน์ว่า “ความน่าเชื่อถือของฉัน” นั้นสะอาดปราศจากมลทิน เพื่อที่หะดีษของท่านนบีจะได้รับการยอมรับ ซึ่งมันมีค่ามากยิ่งกว่าเงิน 10,000 ดินารฺเสียอีก ฉันสูญเสียเงินได้ แต่ชื่อเสียงของฉันถูกทำลายไม่ได้ มิเช่นนั้นบรรดาหะดีษที่บันทึกไว้ย่อมถูกทำลายลงไปด้วย ฉันจึงยอมทิ้งเงินนั้น เพื่อที่จะได้ไม่มีซึ่งความสงสัยคลางแคลงใจใดในตัวฉัน”

🌿🌿🌿

รูป อินเตอร์เนต

☀☀เมื่อดุอาอฺถูกตอบรับ☀☀

จากส่วนหนึ่งของคลิป how to get your dua accepted by Theprophetspath แปลเรียบเรียงโดย Bint Al Islam

ชายชาวอียิปต์คนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองอัลมาดีนะฮฺ อัลมุนาวะเราะฮฺ เขาได้รับโอกาสในการทำฮัจญ์เป็นระยะเวลา 20 ปีติดต่อกัน ทุกๆ ปี 

เมื่อไม่นานมานี้เขาถูกสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ตั้งคำถามกับเขาว่า “คุณทำงานเป็นคนทำความสะอาดและมีฐานะยากจน คุณคิดว่าอะไรคือเหตุผลที่อัลลอฮฺทรงเรียกคุณกลับไปยังบ้านของพระองค์อย่างต่อเนื่องเช่นนี้?”

เขาตอบว่า “มันคือการอำนวยพรของพระองค์โดยแท้ และผมเองก็ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าอะไรหรือเหตุผลที่แท้จริง

แต่ผมจำเหตุการณ์ครั้งหนึ่งได้เป็นอย่างดี มันเกิดขึ้นในการทำฮัจญ์ครั้งแรกของผม ซึ่งครั้งนั้นผมใช้เงินเก็บทั้งหมดที่ผมมีเพื่อฮัจญ์ครั้งนั้น และผมก็ได้ออกเดินทางครั้งใหญ่ 

ขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่บนรถโดยสารเพื่อเดินทางไปยังมักกะฮฺ ผมเห็นหญิงชราคนหนึ่ง เธออายุมากและมีรูปร่างที่ใหญ่ เธอใช้ไม้เท้าเดินด้วยความยากลำบาก และเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเจ็บปวดมาก ผมจึงถามตัวผมเองว่า “ผมเป็นคนประเภทใดกัน ในเมื่อผมยังหนุ่มแน่นและนั่งอยู่บนรถโดยสาร แต่เธอกลับต้องเดินไปมักกะฮฺตลอดทาง?” ดังนั้นขณะที่รถติด ผมจึงลงจากรถโดยสาร และเดินไปหาเธอและบอกเธอว่า “คุณแม่ครับ ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ได้โปรดขึ้นไปนั่งบนรถแทนผมด้วยเถอะครับ แล้วผมจะเดินแทนคุณแม่เอง” ทันใดนั้นสตรีชราก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกล่าวขอบคุณอัลลอฮฺที่ทรงส่งคนมาช่วยเธอและเสนอที่นั่งของเขาบนรถโดยสารให้กับเธอ โดยที่เธอไม่ต้องเดิน และขณะที่เธอเดินขึ้นรถไป เธอได้หันหน้ามาหาผมและพูดว่า

“โอ้ ลูกชายเอ๋ย ฉันขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺ ขอพระองค์โปรดอย่าได้ยับยั้งเธอจากการทำฮัจญ์อีกครั้ง” 

จากนั้นชายคนอียิปต์ก็พูด (กับผู้สัมภาษณ์) ว่า “อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง แต่ผมก็เชื่อว่าดุอาอฺของเธอคือเหตุผลที่ทุกๆ ปี อัลลอฮฺทรงส่งคนมาเคาะที่ประตูห้องของผม และพวกเขาก็ขอความช่วยเหลือจากผมในการไปทำฮัจญ์ หรือไม่ก็ขอให้ผมเดินทางไปทำฮัจญ์เป็นเพื่อน หรือบางครั้งพวกเขาก็บอกผมว่าต้องการให้ผมไปทำฮัจญ์โดยที่จะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ฟรีๆ  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกๆ ปี เป็นระยะเวลา 20 ปีติดต่อกัน”

พี่น้องที่รัก ดังนั้น เวลาที่เราวิงวอนขอจากอัลลอฮฺ เราจำต้องตระหนักเสมอว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ ณ ที่พระองค์

รูป อินเตอร์เนต

​🔥🔥อีโก้ (การเชื่อว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น) & ความหลงตัวเอง🔥🔥

จากคลิป ego and arrogance (นุอมาน อาลี คาน) ▪The daily reminder▪ แปลเรียบเรียง Bint al islam

บางคนมีปัญหาเรื่องบุคลิกภาพหรือภาพลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกถึงความมีศาสนาที่แลดูน่ากลัว น่าเกรงขาม…  มันยากที่จะเข้าไปพูดคุยกับพวกเขา เรากลัวที่จะอยู่ใกล้พวกเขา เพราะเรารู้ว่า พวกเขาจะต้องพูดจาดูถูกดูแคลนเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ใช่ไหม? เรากลัวที่จะอยู่ใกล้ชิดพวกเขา

ยกตัวอย่างเช่น มีพี่น้องมุสลิมะฮฺบางคนที่ยังไม่ได้สวมฮิญาบ เมื่อพวกเธอเจอคนเหล่านั้น พวกเธอจำต้องข้ามถนนเดินหลบเลี่ยงไปอีกทาง ในใจก็คิดไปว่า “โอ้ เธอมาอีกแล้ว ตำรวจตรวจฮิญาบ หรือเดี๋ยวเธอต้องพูดอะไรให้ฉันรู้สึกไม่ดีแน่ๆ เลย” เป็นแบบนั้นใช่มั้ย?

ในอีกมุมนึง มันอาจจะเป็นความหวาดระแวงของเราเอง แต่ในทางกลับกันบางครั้งมันคือความจริง เพราะจะมีกลุ่มคนบางคนที่มักแสดงความดูถูกดูแคลนต่อผู้อื่น แสดงความทะนงตนกับผู้คน ทั้งที่ จริงๆ แล้ว เขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่รักการไปปาร์ตี้ (ทำตัวไม่ดี) มาก่อนเช่นกัน

จริงหรือไม่ คุณเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น และเวลาที่มีคนพยายามจะตักเตือนคุณ คุณปฏิบัติตัวอย่างไรกับคนที่มาเตือนคุณ คุณจำได้ไหม?

คุณลืมหรือว่า คุณมาจากไหน เคยมีสภาพอย่างไร อัลลอฮฺทรงดึงคุณออกมาไกลเพียงใด หลายคน (ที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง) มักลืมในข้อเท็จจริงนี้ หลายคนลืมไปว่าพวกเขาเคยเป็นเช่นไรและอัลลอฮฺทรงดึงเขาออกมาจากที่ไหน และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนที่เป็นคนรักการปาร์ตี้ (ทำตัวไม่ดี) พวกเขาก็จะเริ่มตำหนิคนเหล่านั้นว่า “ทำไมเขาทำตัวแบบนั้น อัสตัฒฟิรุลลอฮฺ”

ลองถามตัวเองว่า…แล้วก่อนหน้านี้ คุณเป็นอะไร จริงๆ คนคนนั้น (ที่คุณกำลังตำหนิอยู่) น่าจะช่วยรื้อฟื้นความจำว่าคุณเคยเป็นเช่นไรมาก่อนด้วยซ้ำ

คุณเป็นแบบเขาเลย แบบนั้นเลย จำได้ไหม? ดังนั้นคุณควรจะรำลึกถึงความโปรดปรานที่อัลลอฮฺทรงประทานให้กับคุณ

คุณเคยยืนอยู่ตรงขอบเหวไฟนรกนั้น และอัลลอฮฺทรงดึงคุณออกมาจากขอบเหวนั้น ในอายะฮฺหนึ่ง อัลลอฮฺตรัสว่า  🌱และทรงให้มีความรักใคร่และความเมตตาระหว่างพวกเจ้า แท้จริงในการนี้ แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ🌱 [อัลกุรอาน 30 : 21] *quran app

✔✔คุณต้องนึกถึงอดีตของคุณ ว่าคุณเองก็เคยอยู่ตรงขอบเหวนั้นเอง และคุณได้รับการช่วยเหลือให้กลับมาอยู่ในหนทางนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เพราะตัวคุณเอง มันไม่ได้เป็นเพราะว่าคุณเป็นคนฉลาด และนั่นคือเหตุผลที่คุณได้รับการช่วยเหลือ✔

✔✔ความเมตตาของใครกันที่มอบให้กับคุณ? นั่นคือความเมตตาของอัลลอฮฺต่างหากที่มีต่อคุณ ✔✔

แล้วคุณกล้ามองคนอื่น และคิดไม่ดีกับเขาได้อย่างไร? ใช่หรือไม่? ความทะนงตน หลงตัวเองนี้ คือสิ่งที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก มันสามารถลบล้างความดีทั้งหมดของคุณที่คุณทำมาได้

และปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ โดยส่วนใหญ่แล้ว บรรดาเยาวชนที่เข้าไปสู่การโต้แย้งที่รุนแรงเกี่ยวกับอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป้นประเด็นเรื่องศาสนา ฟิกฮฺฟิกฮฺ หรืออะไรก็ตาม

✔✔คุณรู้ไหม จริงๆ แล้ว สาเหตุของปัญหาที่นำมาซึ่งการโต้แย้ง ปกติแล้วมาจากอะไร มันมาจาก “อีโก้ (ความเชื่อว่าตนดีกว่า เหนือกว่า)” มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ มันเป็น “อีโก้ขั้นสูง” ด้วย นั่นล่ะคือ ปัญหาที่แท้จริง✔✔

หลายพูดเกี่ยวกับผู้รู้ นักวิชาการเสมือนกับว่าพวกเขากำลังพูดคุยเกี่ยวกับนักกีฬา เช่นว่า “นายรู้จักไอผู้ชายคนนั้นไหม ฉันไม่ชอบสิ่งที่เขาพูดเลยว่ะ”

ก่อนที่คุณจะพูดเช่นนั้น คุณรู้ไหมว่า ผู้รู้คนนั้นเดินทางมาไกลแค่ไหน เขาต้องพบเจออะไรบ้างในหนทางของอัลลอฮฺ แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับเขาก็ตาม แต่คุณไม่ควรลืมข้อเท็จจริงที่ว่า เขาต้องจากบ้านเมืองของเขามา ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการท่านใดก็ตาม พวกเขาต้องเดินทางไกลค่อนโลกเพื่อแสวงหาความรู้และใช้เวลาทั้งคืน ตลอดทั้งคืนยืนละหมาด ท่องจำ ทบทวบ และร่ำเรียนอย่างหนัก

พอได้ยินแบบนี้ คุณก็จะแสดงความเห็นว่า “ก็ฉันไม่ชอบสิ่งที่เขาพูด ฉันคิดว่าเขาหลงทาง ไม่ปกติ”

คุณกล้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร คุณทำอะไรลงไป อะไรที่ทำให้คุณอยู่ในสถานะที่พูดสิ่งนั้นออกมาได้ ?

และคุณก็รู้ว่า หากว่าคุณไม่เห็นด้วยกับมุสลิมคนหนึ่ง และคุณคิดว่าเขาผิด ความคิดแรกที่คุณควรมีต่อเขาคืออะไร?

คุณควรทำการตัดสินพวกเขาว่าพวกเขาต้องตกลงไปในนรกหรือ หรือคุณควรมีความห่วงใยเขาด้วยความจริงใจ และหากว่าคุณห่วงใยเขาด้วยความจริงใจ คุณก็คงจะไม่ไปพูดคุยกับใครๆ เกี่ยวกับเขาแบบนั้น… 

เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณควรพูดคุยกับใคร ก็พูดกับเขาเองเลยสิ 

คุณย่อมเข้าไปคุยกับเขาตรงๆ หากว่าคุณจริงใจ 

คุณย่อมบอกให้เขารับรู้ถึงความห่วงใยที่คุณมีต่อเขา ไม่ใช่ไปบอกคนอื่น  

แต่นี่คืออะไร นี่คือการแสดงออกถึงความไม่จริงใจ และอีโก้

มันบ่งบอกให้เห็นว่า คุณต้องการพรรคพวก คุณกำลังสร้างฐานของคุณอยู่ และคุณก็จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับคนนั้นคนนี้ ซึ่งนั่นคือ การแสดงออกถึงความไม่มีวุฒิภาวะ ความหลงตัวเอง และอีโก้ และนั่นคือสิ่งที่คุณกำลังเป็น

🌱และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน และจำรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีแต่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงให้สนิทสนมกันระหว่างหัวใจของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วย ความเมตตาของพระองค์ และพวกเจ้าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งนรกนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของพระอง๕เพื่อว่าเพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง🌱 [อัลกุรอาน 3 : 103 ] *quran app

Image: internet

🔑🔑🔓ทางออกของทุกปัญหา🔓🔑🔑

จากคลิป A solution to all your problems by iLovUAllah แปลเรียบเรียงโดย Bint Al Islam  

นบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวไว้ในหะดีษของท่าน ซึ่ง รายงานโดยท่านอนัส (เราะฎิยัลลลอฮุ อันฮุ) เป็นหะดีษที่มีความงดงามยิ่ง หากเพียงแค่พวกเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน 

สิ่งที่นบีกล่าวไว้ในหะดีษบทนี้จะช่วยแก้ปัญหาทุกๆ ปัญหาของเราได้ 

ท่านนบีกล่าวไว้ว่า ■■ผู้ใดก็ตามที่กังวลเกี่ยวกับอาคิเราะฮฺของเขา อัลลอฮฺจะทรงทำให้เขามีความร่ำรวยในหัวใจ และจะทรงรวบรวมสิ่งต่างๆ ที่กระจัดกระจายให้แก่เขา และดุนยาก็จะวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างพรั่งพรู■■

🔑“ผู้ใดก็ตามที่กังวัลเกี่ยวกับอาคิเราะฮฺของเขา”🔑 ความกังวลใจนี้ถือเป็นความกังวลใจที่ดี เพราะการเป็นห่วงกังวลต่ออาคิเราะฮฺนั้น หมายถึงการเป็นกังวลต่อช่วงเวลาที่คุณจะต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของอัลลอฮฺ อัซซะวะญัล

🔑“อัลลอฮฺจะทรงทำให้เขามีความร่ำรวยในจิตใจของเขา”

🔑ความร่ำรวยในจิตใจคืออะไร? 

🔓ความร่ำรวยของกระเป๋าคือ “เงิน” 

🔓ส่วนความร่ำรวยของจิตใจคือ “ความสุขและความพึงพอใจ” 

🔓เพราะเงินทองในดุนยานี้จะไม่มีทางทำให้หัวใจของคุณร่ำรวยได้ 

🔑และผู้ใดก็ตามที่กังวลเกี่ยวกับอาคิเราะหฺ🔑 ซึ่งหมายถึงผู้ศรัทธาที่เป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ  อัลลอฮฺจะทรงทำให้เขามีความร่ำรวยในจิตใจ และไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะอัลลอฮฺจะทรงรวบรวมการงานทั้งหมดของเขาไว้ให้อยู่ภายใต้การดูแลของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน ชีวิตคู่ ชีวิตครอบครัว ชีวิตทางสังคม  ทุกๆ กิจการงานของคุณจะอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณเอง คุณจะมีความสามารถในการควบคุม จัดการเรื่องราวทั้งหมดนั้นได้ โดยที่การงานเหล่านั้น ปัญหาเหล่านั้นจะไม่สามารถควบคุมชีวิตคุณได้ 

👋👋👋👋อัลลอฮฺจะทรงรวบรวมทุกๆ การงานในโลกดุนยานี้ของคุณ และอัลลอฮฺจะวางมันไว้ที่มือของคุณ คุณจะเป็นผู้ควบคุมมัน คุณจะอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น👋👋👋👋

และไม่ใช่เพียงแค่นั้น นบียังกล่าวด้วยว่า 🔑และดุนยาและทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในดุนยานี้จะวิ่งเข้ามาหาเขา🔑 ดังนั้น หากความกังวลใจของคุณ คืออาคิเราะฮฺ  ดุนยาจะวิ่งเข้าหาคุณเอง

หากคุณอยู่ในดุนยานี้เพื่อให้ดุนยารับใช้คุณ อัลลอฮฺก็จะทรงทำให้คุณเป็นเจ้านายแห่งดุนยา และอัลลอฮฺจะทรงทำให้คุณเป็นบ่าวแห่งอาคิเราะ

ผู้ใดก็ตามที่มีความกังวลต่ออาคิเราะฮฺ และความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ อัลลอฮจะทรงประทานความร่ำรวยให้แก่หัวใจของเขา และอัลลอฮฺจะทรงรวบรวมทุกๆ เรื่องราว ทุกๆ ปัญหาของเขาให้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเขาและอัลลอฮฺจะทรงทำให้ดุนยาวิ่งเข้าหาเขา

แต่ในทางกลับกัน  🔑ผู้ใดก็ตามที่กังวลต่อดุนยาของเขา🔑

🔓ความกังวลใจของเขาคือเรื่องราวแห่งดุนยา

🔓ความเครียดของเขาก็คือเรื่องราวแห่งดุนยา 

นบีมุหัมมัดกล่าวว่า ■■ผู้ใดก็ตามที่กังวลเกี่ยวกับดุนยาของเขา อัลลอฮฺจะทรงทำให้เกิดความยากจนปรากฎขึ้นระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของเขา และในหัวใจของเขา และจะทรงทำให้กิจการต่างๆ ของเขากระจัดกระจาย■■ หมายความว่า หากว่าเขามีแต่ความกังวลแต่เรื่องของดุนยา พระองค์จะทรงทำให้เขามีแต่ความแร้นแค้น ยากจน แม้ว่าเขาจะมีเงินมากมายในดุนยานี้

คุณเคยเห็นไหม คนบางคนที่ร่ำรวยมากๆ แต่พวกเขากลับเป็นเยี่ยงทาสรับใช้ ตลอด 24 ชั่วโมง ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้นับเงินของตัวเอง พวกเขาร่ำรวยมาก แต่ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเห็นหน้าลูกๆ ของตัวเอง พวกเขาร่ำรวยมาก แต่ไม่มีโอกาสที่จะได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พวกเขาร่ำรวยมาก แต่ไม่มีโอกาสที่จะนั่งลงและพักผ่อน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเหล่านั้นคือผู้ที่ยากจน และพวกเขาไม่เคยมีความสุขเลย ไม่เคยมีความสุขเลยจริงๆ พวกเขาไม่เคยที่จะมีโอกาสได้ลิ้มรสชาติในแบบที่คนยากจนได้ลิ้มลอง ซึ่งนั่นคือ การได้พักผ่อน และความสบายใจ 

พวกคุณคิดว่าพวกเขารวย มีทรัพย์สินมากมาย มีชีวิตที่สะดวกสบาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย

แน่นอนภายนอกเขาดูร่ำรวย มีทรัพย์สินมากมาย พวกเขามีเงินทองมหาศาล แต่ทว่าพวกเขากลับไม่พบกับความสบายใจ พวกเขาไม่รู้สึกผ่อนคลาย พวกเขาไม่มีความสุข เพราะอะไร? 

เพราะดุนยาคือความเครียด ความกังวลใจของเขา

อัลลอฮฺจะทรงทำให้เขายากจนในดวงตาของเขา อัลลอฮฺประทานความยากจนให้ในระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของเขา ถืงแม้ว่าเขาจะมีเงินมากมายแห่งดุนยา แต่พวกเขาก็จะยังคงเป็นผู้ที่ยากจนอยู่ดี แม้ว่าพวกเขาจะมีเงินมากมาย แต่พวกเขายังคงมีแต่ความเครียดอยู่ดี

■■ผู้ใดก็ตามที่ให้อาคิเราะฮฺเป็นสิ่งที่สำคัญ (เป็นความห่วงกังวล) สำหรับเขา อัลลอฮฺจะทรงรวบรวมการงานทั้งหมดของเขาไว้ให้ และจะทรงทำให้เขามีความร่ำรวยในหัวใจ และดุนยาจะวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างพรั่งพรูแม้ว่ามันจะไม่เต็มใจก็ตาม และผู้ใดก็ตามที่ให้ดุนยาเป็นสิ่งสำคัญ (เป็นความห่วงกังวล) สำหรับเขา อัลลอฮฺจะทรงทำให้เกิดความยากจนปรากฎขึ้นระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของเขา และในหัวใจของเขา อัลลอฮฺจะทรงทำให้กิจการต่างๆ ของเขากระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ และจะไม่มีสิ่งใดในดุนยาเข้ามาหาเขายกเว้นเท่าที่ถูกกำหนดไว้ให้แก่เขาเท่านั้น■■ (อัตติรฺมิซียฺ จัดระดับความน่าเชื่อถือของหะดีษโดยอัลอัลบานียฺ)

🍃🍃🍃เปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยหะดีษเพียง 1 บท🍃🍃🍃

จากคลิป One hadith changed his life (The Prophet’s path) แปลเรียบเรียงโดย Bint al Islam

มีหลายคนที่ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป ด้วยเพราะอัลกุรอานเพียงหนึ่งอายะฮฺ หรือหะดีษเพียงหนึ่งบท 

ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นขโมย โจร จะเป็นคนที่มักอธรรม รังแกผู้อื่น จะเป็นคนที่ติดเหล้า ทำบาป หรือคนมีพฤติกรรมที่แสนจะชั่วร้าย แต่อายะฮฺในอัลกุรอานเพียงหนึ่งอายะฮฺสามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้ทั้งชีวิต บางคนกลายเป็นอีหม่าม ผู้รู้

¤อิหม่ามอิบนุ กุดามะฮฺ¤ ได้เล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งในหนังสือของท่าน 📖กิตาบ อัล เตาวะบีน📖 ว่า

มีชายคนหนึ่งที่ติดการดื่มสุราอย่างหนัก เขามักจะมีอาการเมาอยู่ตลอดเวลา เขามีชื่อว่า ¤อับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสลามะฮฺ อัล กอนะบีฮฺ¤

ครั้งหนึ่งขณะที่อับดุลลอฮ อิบนุ มัสลามะฮฺ อัล กอนะบีฮฺกำลังดื่มสุราอยู่กับสหายของเขา เขาเห็นกลุ่มคนมากมายรวมตัวกันล้อมวงชายคนหนึ่ง และชายคนนั้นกำลังนั่งอยู่บนลาของเขา 

ด้วยเหตุนี้ อับดุลลอฮฺจึงเกิดความสงสัย และต้องการจะรู้ว่าชายคนนั้นคือใคร และทำไมทุกคนจึงมาอยู่ล้อมรอบตัวเขา 

เขาจึงเข้าไปถามกลุ่มคนที่ล้อมรอบตัวชายคนนั้นโดยที่ในมือของเขายังคงถือขวดสุราอยู่ ว่า “นั่นคือใครกัน”
เขาได้รับคำตอบว่า “เขาคืออีหม่ามที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ เลยนะ” อับดุลลอฮฺจึงถามต่อว่า “อีหม่ามคนนี้ชื่ออะไร” พวกเขาตอบว่า ¤อีหม่ามชุบะฮฺ อิบนุ ฮัจญญัจฺ¤ 

อับดุลลอฮฺถามต่อว่า “แล้ว เขาทำอะไร” พวกเขาตอบว่า “เขาเป็น มุหัดดีษ” อับดุลลอฮฺถามต่อว่า “มุหัดดีษ คืออะไร” 

พวกเขาตอบว่า “มุหัดดีษ คือ ผู้ที่รายงาน จดจำ และสั่งสอน และปฏิบัติตามบรรดาหะดีษของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม อย่างไรเล่า” 

จากนั้น อับดุลลอฮฺจึงได้เข้าไปหาอีหม่ามชุบะฮฺ ขณะที่ท่านกำลังนั่งอยู่บนลา และเขาพูดกับท่านว่า “หากท่านเป็นมุหัดดิษจริง ช่วยรายงานหะดีษหนึ่งบทให้กระผมฟังหน่อยจะได้ไหม” 

เมื่ออีหม่ามชุบะฮฺได้ยินเช่นนั้น และด้วยความที่ท่านเป็นอีหม่าม ที่มองเห็นว่าอับดุลลอฮฺกำลังถือขวดสุราอยู่ในมือ ท่านจึงรายงานหะดีษบทหนึ่งที่ตรงกับสถานการณ์ขณะนั้น 

คำแปลของหะดีษที่ท่านได้นำเสนอแก่เขาคือ “หากบุคคลหนึ่งปราศจากซึ่งความละอาย เขาย่อมทำในสิ่งใดก็ตามที่เขาปรารถนา” 

○○ซุบฮานั้ลลอฮฺ พวกเราได้ยินหะดีษนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ทว่ามันเคยสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในชีวิตของเราหรือไม่ ○○

อย่างไรก็ตาม เมื่ออับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสลามะฮฺ อัล กอนะบียฺได้ยินหะดีษบทดังกล่าว ขวดสุราที่เขาถืออยู่ก็หลุดจากมือของเขาหล่นลงพื้น และเขาก็พูดขึ้นมาว่า “นบีมุหัมมัดกล่าวเช่นนี้จริงๆ หรือ ที่ว่า ▪หากท่านไม่มีความละอาย ก็จงทำในสิ่งที่ท่านปรารถนาเถิด▪ 

เขาจึงเริ่มถามตัวเองว่า “ฉันเป็นคนที่ไร้ความละอายหรือนี่” 

♡♡หะดีษบทดังกล่าวนี้ได้ทะลุทะลวงเข้าไปในหัวใจของเขา♡♡

จากนั้นเขาจึงเดินทางกลับบ้าน และใช้เวลาอยู่ภายในห้องของเขา ร้องไห้ ใคร่ครวญอยู่หลายวัน เขาเฝ้าถามตัวเองว่า “ฉันได้ทำอะไรลงไปกับชีวิตของฉันที่ผ่านมากันนี่” “ฉันดื่มสุรา ฝ่าฝืนอัลลอฮฺมาโดยตลอด” ในที่สุดเขาก็ได้สำนึกผิด ขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ และเขาก็ออกมาจากห้องของเขา และบอกมารดาของเขาว่า “ผมจะไปจากประเทศนี้ ผมต้องการที่จะแสวงหาความรู้ศาสนา ผมอยากจะเป็นเช่นอีหม่ามชุบะฮฺ ท่านเป็นมุหัดดีษ แล้วทำไมผมจะเป็นมุหัดดีษบ้างไม่ได้ หากอีหม่ามชุบะฮฺสามารถเป็นมุหัดดีษได้ ผมก็เป็นได้เช่นกัน” 

■■พี่น้องมุสลิมที่รัก เห็นหรือไม่ ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่ติดการดื่มสุรา และตอนนี้เขาปรารถนาอยากจะเป็นมุหัดดีษแล้ว■■

■■เขาไม่ได้ต้องการเพียงแค่เตาบัต (สำนึกผิดขออภัยโทษ) เท่านั้น หากทว่าเขาปรารถนาที่จะทำอะม้าล และอยากจะปฏิบัติจริง และอยากจะเป็นมุหัดดิษ■■

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้าไปถามบรรดาอุลามะฮฺ และพวกท่านแนะนำให้เขาเดินทางไปแสวงหาความรู้ที่มาดีนะฮฺ

■■คุณรู้จักอีหม่ามมาลิกหรือไม่ ท่านคือหนึ่งในอีหม่ามที่ดีที่สุดในยุคนั้น และหากว่าคุณเป็นลูกศิษย์ของท่าน คุณก็จะกลายเป็นมุหัดดิษ■■

ดังนั้นอับดุลลอฮฺจึงออกเดินทาง เขาเดินทางจากบัศรอไปยังมาดีนะฮฺ และเขาก็มุ่งหน้าไปยังอีหม่ามมาลิก และจากนั้นเขาก็กลายเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ดีที่สุดของอีหม่ามมาลิก 

■■และไม่ใช่เพียงแค่นั้น พวกเรารู้จักผู้ที่รายงานหะดีษที่เชื่อถือได้ที่สุดทั้งสองท่านนี้ดีใช่หรือไม่ นั่นคือ อีหม่ามบุคอรียฺ และอีหม่ามมุสลิม■■

■■คุณรู้หรือไม่ว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสลามะฮฺ อัลกอนะบียฺ ก็เป็นหนึ่งในบรรดาอาจารย์ของอีหม่ามบุคอรียฺและอีหม่ามมุสลิมอีกด้วย เห็นหรือไม่ว่า ท่านเดินทางมาไกลเพียงใด จากคนติดเหล้า กลายเป็นหนึ่งในบรรดาอีหม่ามที่ดีที่สุดคนหนึ่ง■■

¤¤ชีวิตของคนติดเหล้าคนหนึ่งเปลี่ยนไปด้วยเพราะหะดีษหนึ่งบท¤¤

✔✅✔แล้วเราล่ะ พี่น้องมุสลิมทั้งหลาย รวมถึงตัวของผมเอง เราอ่านอัลกุรอาน เราอ่านหะดีษมากมาย เราอ่านถ้อยคำ บทความที่สร้างแรงบันดาลใจแห่งอิสลามมากมายบนทวีตเตอร์ เฟซบุ๊ค วอทซแอป และอื่นๆ อีกมากมาย หากทว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเราเลย✔✅✔

➡➡คุณเป็นทุกข์ เพราะอัลลอฮฺกำลังทรงขุ่นเคืองคุณอยู่หรือไม่⬅⬅

แปลบางส่วนจากคลิป Don’t be sad : Allah knows by Islam guidance โดย บินติ อัลอิสลาม
เมื่อคุณทำให้อัลลอฮฺพึงพอพระทัย พระองค์ก็จะทรงทำให้คุณมีความสุข

💧หากทว่าคุณกลับต้องการทำบาป ทั้งกลางวันและกลางคืน และในขณะเดียวกันคุณก็อยากจะเป็นผู้ที่มีความสุข คุณอยากให้อัลลอฮฺพึงพอพระทัยในตัวคุณ แบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอก 

💧คุณต้องการฝ่าฝืนพระองค์ แล้วคุณก็หวังว่าอัลลอฮฺจะทรงตอบแทนด้วยการมอบความสุขให้กับคุณเช่นนั้นหรือ

💧คุณต้องการข้องเกี่ยวกับสิ่งที่หะรอม และคุณต้องการได้รับความสุขจากพระองค์เช่นนั้นหรือ 

🔽🔽มันเป็นไปไม่ได้หรอก🔽🔽

และด้วยเหตุนี้เองพี่น้องมุสลิมทั้งหลาย เมื่อคุณประสบทุกข์ และความโศกเศร้า คุณจำต้องถามตัวคุณเองด้วยคำถามหนึ่งก่อน

ก่อนที่คุณจะเข้าไปตรวจสอบเงินในบัญชีธนาคารของคุณว่าคุณมีเงินเท่าไรในนั้น ก่อนที่คุณจะทำนัดกับนักจิตวิทยา หรือแพทย์ ก่อนที่คุณจะนั่งลงและพูดคุย บอกเล่ากับคนนั้น คนนี้ 

👉👉ถามตัวเองก่อนว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับอัลลอฮฺเป็นเช่นไร?” 👈👈

เพราะด้วยสถานะความสัมพันธ์นั้นเอง ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ ด้วยเพราะลิ้นของคุณนั่นเอง ที่แห้งผาก เพราะคุณไม่ได้กล่าวรำลึกถึงพระองค์ คุณจึงเป็นทุกข์ โศกเศร้า

วัลลอฮิ เมื่อใดที่คุณรำลึกถึงพระองค์ เรียกหาพระองค์ ละหมาดวิงวอนขอจากพระองค์ คุณก็จะได้ลิ้มรสชาติแห่งความสุขในหัวใจคุณ

เพราะแท้จริงแล้ว ความมืดมนในหัวใจนั้นเองที่นำมาซึ่งความทุกข์

และแสงสว่างคือสิ่งที่นำมาซึ่งความสุข ความสงบ ความสันติ

แน่นอนว่า มันย่อมมีช่วงเวลาที่คุณอาจจะรู้สึกเครียด ไม่สบายใจ แต่หนทางเดียวที่นำพาคุณไปสู่ความสุข และบรรเทาความเครียด ความไม่สบายใจของคุณได้ คือการทำให้อัลลอฮฺพึงพอพระทัย กลับเข้าหาพระองค์และพระองค์จะทรงเข้าหาคุณ อยู่กับพระองค์และพระองค์จะทรงอยู่เคียงข้างคุณ ทำความดี ทำในสิ่งที่ดี และอัลลอฮฺจะทรงประทานความสุขแก่คุณ

มอบหมายต่ออัลลอฮฺ เชื่อมั่นในพระองค์ และอัลลอฮฺจะทรงให้คุณในทุกๆ สิ่ง และคุณจะมีในทุกๆ สิ่ง

➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡➡

🍃🍃🍃🍃เรื่องราวของความอิคลาส🍃🍃🍃🍃 

 (ให้ความสำคัญที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ)


จากคลิป
the daily reminder หัวข้อ Story of sincerity แปลเรียบเรียง บินติ อัลอิสลาม

เรื่องราวของชายคนหนึ่งชื่อ อบู นัสรุล ซัยยาด ครั้งหนึ่งเขาเล่าว่า เขาเคยมีฐานะที่ยากจนอย่างมาก ในตอนนั้นเขาต้องคอยหางาน หรือทำอะไรก็ได้ที่จะสามารถหาเลี้ยงครอบครัวของตน

วันหนึ่งเขาเข้าไปพบกับชัยคฺของเขา นั่นคือชัยคฺอะหมัด บิน มิสกีน ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในตาบีอีน (หมายถึงชนยุคหนึ่งที่เป็นพยานรับรู้และได้รับการอบรมสั่งสอนจากบรรดาเศาะฮาบะฮฺ)  
เมื่อเขาเข้าไปหาชัยคฺอะหมัด เขาได้บอกกับชัยคฺของเขาว่า “ยา ชัยคฺ ผมมีความจำเป็นที่จะต้องหาเลี้ยงครอบครัวของผมครับ” 

ชัยคฺได้ตอบเขาว่า 🍂🍂“จงไปละหมาดสองร็อกอัตต่ออัลลอฮฺ จากนั้นก็เดินทางไปยังทะเล และผมจะคอยช่วยเหลือคุณ”🍂🍂

พวกเขาทั้งสองได้เดินทางไปยังทะเลพร้อมกับตาข่ายจับปลา และเขาก็สามารถจับปลาตัวใหญ่ได้หนึ่งตัว จากนั้นเขาจึงนำปลาไปขาย เมื่อได้เงินมา เขาก็นำไปซื้อจานสองใบ จานใบหนึ่งเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ และจานอีกใบหนึ่งเต็มไปด้วยขนมหวาน  เมื่อเสร็จสิ้นธุระแล้ว เขาก็เดินทางกลับไปหาชัยคฺอะหมัด และกล่าวขอบคุณท่าน พร้อมทั้งมอบจานอาหารหนึ่งใบที่เขาซื้อมาให้กับชัยคฺ หากทว่าชัยคฺตอบเขาด้วยถ้อยที่ลึกซึ้งว่า 

🍂🍂“โอ้ อบู นัสรุล ซัยยาด หากว่าผมได้ช่วยเหลือคุณ เพื่ออัลลอฮฺ ในการให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ใดตามในดุนยานี้  ปลาตัวนั้นมันคงไม่แหวกว่ายออกมาให้จับได้ และอัลลอฮฺย่อมไม่ประทานบะเราะกัตในปลาตัวนั้นให้หรอก ผมขอให้คำแนะนำแก่คุณ ให้คุณนำอาหารนี้ไปให้ครอบครัวของคุณรับประทานเถอะ”🍂🍂

อบู นัสรุลจึงนำอาหารที่ได้มาไปให้ครอบครัวของเขา และระหว่างทาง เขาได้พบกับสตรีคนหนึ่งพร้อมกับลูกน้อยของเธอ เธอเป็นแม่หม้าย ดังนั้นลูกชายของเธอจึงเป็นเด็กกำพร้า พวกเขามองมายังจานอาหารของเขา และทันใดนั้น เขาก็ลืมนึกถึงความหิวโหยของครอบครัวของเขาไป และเขารู้สึกเหมือนกับว่า “สวนสวรรค์ได้ลงมายังพื้นดิน เพื่อนำเสนอมันให้กับใครก็ตามที่จะให้อาหารแก่แม่และเด็กกำพร้าสองคนนั้น”  ดังนั้นเขาจึงมอบอาหารที่มีให้กับแม่และเด็ก และเดินทางกลับบ้านไป แต่ทว่า ชัยฎอนได้ทำการกระซิบกระซาบ ทำให้เขารู้สึกเสียใจ เสียดายในสิ่งที่ทำไป เขาจึงเกิดความกังวัล ไม่สบายใจว่า เขาจะเอาอะไรให้ครอบครัวของเขาทาน ทันใดนั้นเอง ก็มีใครบางคนเคาะประตูบ้านของเขา และร้องเรียกว่า “อบู นัสรุล อยู่ไหน ฉันเคยยืมเงินพ่อของเธอไปเมื่อ 20  ปีก่อน และที่ผ่านมาฉันได้ตามหาเขา (เพื่อที่จะคืนเงิน) แต่ฉันได้รับข่าวว่า เขาเสียชีวิตไปแล้ว และเธอคือลูกชายคนเดียวของเขา นี่คือเงินของเธอ (ที่ยืมพ่อของเขาไป)” และทันใดนั้น เขาก็กลายคนร่ำรวยภายในพริบตา จากนั้นเขาจึงไปหาครอบครัว และทำการแจกจ่ายเงินให้กับพวกเขา และเขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองนั้น 

ในช่วงเวลานั้น เขาได้บริจาคเงินมากมายให้กับผู้คน และทำการชูโกรฺต่ออัลลอฮฺ แต่มีปัญหาติดอยู่นิดนึงคือ เขากลายเป็นคนที่มั่นใจในการงานของตนมากเกินไป เขารู้สึกว่า อัลลอฮฺจะทรงตอบรับการงานทุกอย่างของเขา จากนั้นเขาก็เริ่มโอ้อวด และให้ความใส่ใจต่อปริมาณการบริจาค แต่ไม่ใช่คุณภาพของการบริจาคของเขา 

จนกระทั่งคืนหนึ่ง เขาฝันว่า วันกิยามะฮฺได้ปรากฎขึ้น เขาเห็นผู้คนมากมาย สิ่งถูกสร้างทั้งหลาย ฟื้นคืนชีพขึ้นมาต่อหน้าพระพักตร์ของอัลลอฮฺ และมลาอิกะฮฺได้เรียกแต่ละคนมา และนำเสนอการงานของพวกเขาต่อหน้าอัลลอฮฺ และเมื่อเขาถูกเรียก เขาก็พบว่า เขาเองก็มีทั้งการงานที่ชั่วร้ายบ้างเช่นกัน แต่เขายังคงมีความหวัง เพราะว่า เขามีการงานที่ดี มีการบริจาคอย่างมากมาย และเมื่อ “การบริจาคของเขา” ถูกวางลงใน “ส่วนของ การงานที่ดี” มันกลับไร้ซึ่งน้ำหนัก และฮะซานาตมากมายก็เบาเหมือนปุยนุ่น ไม่มีค่าใด 

เพราะอะไรหรือ?

ก็เพราะว่า การงานของเขาปะปนกับเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เจตนาของเขาปราศจากความจริงใจ มีความโอ้อวด ความปรารถนาที่จะสร้างความพึงพอใจต่อผู้คน

จากนั้นมลาอิกะฮฺก็เริ่มถามเขา ว่า เขามีการงานใดๆ หลงเหลือบางหรือไม่ และทันใดนั้น จานอาหารสองใบที่เขาเคยบริจาคให้กับสตรีและเด็กก็ปรากฎขึ้นมา เขาจึงถามตัวเองว่า “จานอาหารสองใบนี้จะช่วยอะไรผมได้”  เมื่อจานสองใบถูกนำมาชั่ง มันก็ยังไม่เพียงพอ เขายังคงต้องการฮะซานาตเพิ่มอีก จากนั้นก็ได้ปรากฎขึ้นซึ่ง “น้ำตาของสตรี (ที่เขาเคยให้อาหาร)” และ “รอยยิ้มของเด็ก” ที่กลายเป็นสิ่งของที่จับต้องได้  และมันได้ถูกวางลงใน “ส่วนของการงานที่ดี”  ส่วนน้ำตาก็กลายเป็นสระน้ำ และในสระน้ำนั้น ก็มีปลาโผล่ขึ้นมา และปลาก็ถูกจัดวางอยู่ใน “ส่วนของการงานที่ดี” จากนั้นมลาอิกะฮฺจึงบอกเขาว่า  “ท่านทำสำเร็จแล้ว ท่านทำสำเร็จแล้ว” 

จากนั้น อบูนัสรุลก็ตื่นขึ้นมาจากความฝัน และครุ่นคิดว่า

หากว่าเราทำการงานใดก็ตามเพื่อผลประโยชน์แห่งดุนยา ปลาตัวนั้นคงจะไม่โผล่ขึ้นมาเป็นแน่ 

🍂🍂จากบทเรียนของเรื่องนี้  คือ เราควรพยายามทำอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่ดี ที่ชัดเจน มีตัวตน สัมผัสได้ เพื่อความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺด้วยความอิคลาส และอย่าดูถูกการงานที่ดีใดๆ ก็ตามที่เราทำให้แก่ผู้คน🍂🍂

🍃🍃🍃🍃คำอธิบายซูเราะฮฺ อันนาส🍃🍃🍃🍃

เป็นหนึ่งในสองซูเราะฮฺที่มีการขอความคุ้มครองด้วยพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ให้พ้นจากความชั่วร้ายของศัตรูตัวฉกาจ คือ อิบลีสและพรรคพวกของมัน ที่เป็นชัยฏอนมารร้ายแห่งมนุษย์และญิน ซึ่งหลอกล่อมนุษย์ด้วยการกระซิบกระซาบ และกระทำชั่วด้วยวิธีการต่างๆ 

🌱จงกล่าวเถิด ข้าขอความคุ้มครองและการปกป้องด้วยพระผู้อภิบาลของมวลมนุษย์ผู้ทรงพระเดชานุภาพเพียงพระองค์เดียวในการขจัดความชั่วร้ายของการกระซิบกระซาบ

🌱พระองค์ผู้ทรงเป็นราชาแห่งมนุษยชาติ ผู้ทรงบริหารจัดการทุกเรื่องทุกกิจการของพวกเขา ผู้ทรงมั่งมีไม่ต้องพึ่งพวกเขา

🌱พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของมวลมนุษย์ ผู้ซึ่งไม่มีสิ่งเคารพอื่นใดที่สัตย์แท้นอกเหนือไปจากพระองค์

👉👉สามอายะฮฺแรกจะกล่าวถึงคุณลักษณะของพระองค์ พระองค์ทรงสั่งใช้ให้เราขอความคุ้มครองจากพระองค์ด้วยการใช้ “คุณลักษณะอันโดดเด่นของพระองค์” ให้พ้นจาก 👿ความชั่วร้ายของชัยฏอน👿 ที่คอยกระซิบกระซาบในหูของเรา เพราะแท้จริงแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีญินเป็นสหายของเขาซึ่งมันจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ โดยมันจะพยายามทำให้  🚨ความชั่วร้าย🚨 ดูน่าหลงใหลสำหรับเขา และมันไม่ได้ใช้ความพยายามในการโกหกหลอกลวง และความเพ้อฝันของมันแต่อย่างใด และ 🔰การปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากมัน🔰 นั้นอยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ👈👈

🌱ขอความคุ้มครองให้พ้นจากภัยของชัยฏอนที่คอยกระซิบกระซาบยุแหย่เมื่อผลั้งเผลอ และมันก็จะหลบซ่อนหนีหายเมื่อมีการรำลึกถึงอัลลอฮฺ

🌱ชัยฏอนที่คอยกระจายความชั่วร้ายและความเคลือบแคลงในหัวอกมนุษย์

🌱เป็นชัยฏอนจากหมู่ญินและมนุษย์

🎋🎋นบีมุหัมมัด เคยกล่าวว่า อย่าพูดว่า “จงประสบความย่อยยับเถิดชัยฏอน (Perish Satan!)” เพราะเมื่อท่านพูดเช่นนั้น ชัยฏอนจะตัวใหญ่ขึ้น และกล่าวว่า “ด้วยพลังอำนาจของข้า ข้าได้เอาชนะเขาแล้ว” แต่หากว่าท่านกล่าวว่า “บิสมิลลาฮฺ” ชัยฏอนจะตัวเล็กลง และเล็กลงไปอีกจนกระทั่งมันเล็กเหมือนแมลงวัน (รายงานโดยอะหฺมัด ด้วยสายรายงานที่ดี) 🎋🎋

ในหะดีษบทนี้ คือหลักฐานที่พิสูจน์ว่า เมื่อหัวใจรำลึกถึงอัลลอฮฺ มันจะทำให้ชัยฏอนตัวเล็กลง ในขณะที่หากว่าไม่มีการกล่าวถึงอัลลอฮฺ ชัยฏอนก็จะสามารถเอาชนะเขาได้ และมันก็จะเข้มแข็งมากขึ้น

สรุปเรียบเรียงจาก 

✏คัมภีร์อัลกุรอานแปลไทย

✏อรรถาธิบายอัลกุรอาน 3 ญุซอ์สุดท้าย จากอัตตัฟสีรฺ อัลมุยัสสัรฺ

✏Tafseer Ibn Katheer – part 30 juz amma