บทบาทมุสลิมะฮฺต่อเพื่อนและพี่น้องแห่งอิสลาม ตอนที่ 5
Source: หนังสือ Ideal Muslimah: The Muslim Woman and her friends and sisters in Islam
แปลโดย บินติ อัลอิสลาม และเรียบเรียงโดย พี่สาวมุสลิมะฮฺใจดี
เธอรังเกียจการนินทาพี่น้องของเธอ
มุสลิมะฮฺผู้มีความตื่นตัวย่อมไม่ปล่อยให้ตัวเธอตกอยู่ในวงจรของ “การนินทาหรือเข้าร่วมกลุ่มที่มีการนินทา” เธอจะยับยั้ง “ลิ้น” ให้ออกห่างและหลีกเลี่ยงการใส่ร้ายเพื่อนหรือพี่น้องของเธอในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เธอให้ความใส่ใจต่อสิ่งนี้และถือว่าเป็นหน้าที่ที่เธอต้องปกป้องตัวเธอออกจากการนินทาอันต่ำช้า เพราะการนินทานั้นเป็นสิ่งที่หะรอมโดยชัดแจ้งดังที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน ว่า
“และพวกเจ้าอย่าสอดแนม อย่านินทาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งในหมู่พวกเจ้านั้นชอบที่จะกินเนื้อพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้วกระนั้นหรือ พวกเจ้าย่อมเกลียดมันและจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัลหุญร็อต 49.12)
มุสลิมะฮฺจะคอยระงับจากการปล่อยให้ตัวเองพูดคุยในเรื่องที่อาจนำไปสู่การนินทาอยู่เสมอ และด้วยความเข้าใจในอิสลาม เธอย่อมทราบดีว่า “ลิ้น” นั้นเป็นสิ่งที่อาจทำให้เจ้าของมันตกลงสู่ไฟนรก
ดังที่มีการกล่าวไว้ในหะดีษ ซึ่งท่านศาสนทูต เคยกล่าวเตือน มูอ๊าซ อิบนุ ญะบัล และท่านได้จับที่ลิ้นของท่าน และกล่าวว่า “จงยับยั้งสิ่งนี้” มูอ๊าซ กล่าวว่า “โอ้ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ เราจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราพูดด้วยหรือ” ท่านศาสนทูตกล่าวว่า “โอ้ ขอให้มารดาของท่านทำให้ท่านต้องหมดอายุขัยเถอะ! มันมีอะไรบ้างเล่า ที่เป็นเหตุให้ใบหน้าของประชาชาติต้องถูกโยนลงไปในไฟนรก (หรือท่านกล่าวว่า ด้วยจมูกของพวกเขา) หากแต่เป็นผลผลิตที่ออกมาจากลิ้นของเขา”[1]
การนินทา คือคุณลักษณะอันชั่วร้าย ที่ไม่คู่ควรกับสตรีผู้ได้รับทางนำแห่งอิสลาม สตรีเหล่านี้ปฏิเสธการเป็นคนสองหน้า กลับกลอกรวมไปถึงการนินทาใส่ร้ายเพื่อนพี่น้องของเธอในยามที่พวกเขาไม่อยู่ และในขณะเดียวกันเมื่อเธอพบพวกเขา เธอกลับมีรอยยิ้มที่อบอุ่นและแสดงออกถึงมิตรภาพอันดี
เธอตระหนักดีว่า การเป็นคนแปรปรวนโลเล ไม่จริงใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่ “หะรอม” ตามหลักการอิสลาม อันมีพื้นฐานอยู่บนความซื่อตรงจริงใจ ยุติธรรม เปิดเผยความจริง ลักษณะนิสัยที่ดีดังกล่าวนี้ มีในบุรุษและสตรีผู้ศรัทธา เพราะอิสลามได้ประณามลักษณะนิสัยที่ตรงกันข้ามคือ การเป็นผู้ที่มีความโลเล ไม่จริงใจ กลับกลอก เป็นลักษณะนิสัยที่น่ารังเกียจ โดยที่บุคคลใดก็ตามมีลักษณะที่ว่านี้ได้ถูกระบุว่าเป็น “คนสองหน้า” และบรรดาคนสองหน้าเหล่านี้ ถือว่าเป็นมนุษย์ประเภทที่ชั่วร้ายที่สุด ณ สายตาของอัลลอฮฺ ดังที่ท่านศาสนทูต เคยกล่าวไว้ว่า “ท่านจะพบหมู่คนที่มีลักษณะที่ชั่วร้าย ณ สายตาของอัลลอฮฺในวันแห่งการตัดสิน เขาเหล่านั้นคือผู้ที่มีลักษณะนิสัยเป็นคนสองหน้า ผู้ที่เข้าหาผู้คนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง (ด้วยการกระทำกลับกลอก)” [2]
สตรีผู้ศรัทธาคือผู้ที่มีความซื่อตรงและมั่นคง ไม่อ่อนไหว ไม่เป็นคนสองหน้า เธอจะมีความสดใส ร่าเริงและปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมด้วยคุณธรรมและมรรยาท เธอไม่ลืมว่าการเป็นคนสองหน้านั้นคือ “การเป็นคนกลับกลอก” อิสลามและลักษณะนิสัย “กลับกลอก” ย่อมไปด้วยกันไม่ได้ และสตรีผู้มีลักษณะเป็นผู้กลับกลอกจะได้อยู่ในชั้นต่ำสุดของนรก
เธอหลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้ง และการล้อเล่นที่เลยเถิด อีกทั้งการผิดคำสัญญาต่อพี่น้องของเธอ
หนึ่งในมรรยาทอันดีของมุสลิมะฮฺ คือการมีความพอดี การมีไหวพริบและปฏิภาณ เธอหลีกเลี่ยงการทะเลาะที่ก่อให้เกิดโทสะกับพี่น้อง เธอจะไม่สร้างความรำคาญกับพวกเขาด้วยการล้อเล่นที่เลยเถิด (อันสร้างความเสียใจแก่พวกเขา) และเธอไม่ผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อพวกเขา ด้วยเพราะว่าเธอดำเนินชีวิตตามแนวทางของท่านศาสนทูต “จงอย่าทะเลาะกับพี่น้องของท่าน จงอย่าล้อเล่นกับเขาจนเลยเถิด จงอย่าให้คำสัญญาต่อเขาและผิดคำสัญญา (ภายหลัง)”[3]
การโต้เถียงหรือทะเลาะกันจนเกินขอบเขตถือเป็นพฤติกรรมชั่วร้ายอันเป็นเหตุให้หัวใจของเรานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความน่ารังเกียจ และ “การล้อเล่นที่สร้างความเจ็บปวดแก่ผู้อื่น” นั้นเป็นตัวทำลายความบริสุทธิ์ของความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง อีกทั้ง “การผิดคำสัญญา” นั้นบั่นทอนความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และยังทำลายเกียรติระหว่างพวกเขา มุสลิมะฮฺที่มีความตื่นตัวและตระหนักในเรื่องนี้จึงต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังกล่าว อันเป็นสาเหตุให้บุคคลคนหนึ่งกลายเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ
เธอมีน้ำใจและให้เกียรติต่อพี่น้องของเธอ
มุสลิมะฮฺผู้ที่เข้าใจคำสอนของศาสนาจะเป็นผู้ที่มีน้ำใจไมตรีและเป็นผู้ให้ต่อพี่น้องของเธอ ลักษณะที่ทำให้เธอเป็นผู้ที่น่าคบหา คือการที่เธอเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและมีความจริงใจเมื่อเธอเชิญชวนพวกเขา และให้การต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่นอีกทั้งยังให้อาหารแก่พวกเขาอย่างสมบูรณ์ด้วยความเต็มใจ
การเลี้ยงอาหารร่วมกันนั้น เป็นส่วนช่วยกระชับความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องระหว่างกันให้แน่นแฟ้น ยิ่งขึ้น และเติมเต็มชีวิตของพวกเขาด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความดีงาม ซึ่งสิ่งนี้เราไม่สามารถพบในการดำเนินชีวิตของบรรดาสตรีตะวันตกที่เกิดมาในสังคมวัฒนธรรมวัตถุนิยม และถูกเติมเต็มด้วยจิตวิญญาณของการฉวยโอกาส ความเห็นแก่ตัว การแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองเท่านั้น แท้จริงแล้ว สตรีตะวันตกเหล่านี้ต่างทนทุกข์ทรมานจากความว่างเปล่าของจิตวิญญาณและอารมณ์ความรู้สึกที่ด้านชา เป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกถูกกีดกันจากการมีความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์และมิตรภาพที่แท้จริง ปราศจากเพื่อนที่จริงใจ นี่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวตะวันตกทั่วไป โดยเฉพาะสตรี พวกเธอจึงพยายามทดแทนมันด้วยการอุทิศเวลาที่มีอยู่ไปกับการเลี้ยงดูสุนัข และเติมส่วนอารมณ์ความรู้สึกที่ขาดหายไปซึ่งควรได้รับจากมนุษย์ด้วยกัน โดยใช้ปรัชญาการหลงใหลคลั่งไคล้ในวัตถุนิยมเข้ามาทดแทน
นักข่าวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเล่าว่า มีสุนัขจำนวนเจ็ดล้านตัวในฝรั่งเศส ประเทศซึ่งมีจำนวนประชากรทั้งหมด 52 ล้านคน สุนัขเหล่านี้อาศัยอยู่กับเจ้านายของมันดังเช่นสมาชิกในครอบครัว จึงไม่ถือเป็นเรื่องแปลกที่จะพบเห็นสุนัขและเจ้านายของมันกินอาหารบนโต๊ะเดียวกันตามร้านอาหารในฝรั่งเศส เมื่อเจ้าหน้าที่องค์กรสวัสดิการสัตว์ในเมืองปารีสถูกถามว่า “เหตุใดชาวฝรั่งเศสจึงให้การปฏิบัติต่อสุนัขของพวกเขาเหมือนที่เขาปฏิบัติต่อตัวเขาเอง” เจ้าหน้าที่ตอบว่า “เพราะพวกเขาต้องการมอบความรักให้ใครสักคน หากแต่พวกเขาไม่สามารถที่จะหาใครที่เหมาะสมพอที่จะรับความรักนี้ได้”[4]
สังคมของผู้หลงใหลวัตถุนิยมไม่ว่าในตะวันตกหรือตะวันออกนั้น พวกเขาไม่สามารถพบเจอมิตรแท้ที่จะมอบความรัก ความรู้สึกดีๆ ให้ได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะมอบความรักให้แก่สัตว์เลี้ยงทั้งหลาย ซึ่งเขาคิดว่าพวกมันนั้นมีความอ่อนโยน ซื่อสัตย์มากกว่ามนุษย์ที่อยู่ล้อมรอบตัวเขา – การมอบความรักจนเกินขอบเขตต่อสัตว์แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่เสื่อมทรามขั้นรุนแรงของมนุษย์ เมื่อเขาปราศจากซึ่งความศรัทธาและทางนำ ??
อารมณ์ทุกข์ทรมานและความรู้สึกภายในจิตวิญญาณของชาวตะวันตกเสื่อมทรามลงเรื่อยมา และเป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ที่ดึงดูดความสนใจจากนักเขียนอาหรับซึ่งอพยพไปยังประเทศตะวันตก ทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม — พวกเขาสังเกตว่าวิถีชีวิตวัตถุนิยมที่ครอบงำสังคมตะวันตกนั้นทำให้มนุษย์กลายเป็นดังเช่น “เครื่องจักร” ที่ไม่รับรู้ถึงสิ่งใดเลยในชีวิต นอกจากการทำงาน ผลผลิตและการแข่งขันอันดุเดือด พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ควรมีต่อเพื่อนมนุษย์ พวกเขาถูกครอบงำด้วยความเกลียดชังและการใช้ชีวิตเสมือนเครื่องจักร
สัญญาณร้ายเหล่านี้สัมผัสได้จริง บรรดานักเขียนชาวอาหรับที่เติบโตมาในโลกอิสลามและดำเนินชีวิตด้วยจิตวิญญาณที่เปี่ยมความอดทนอดกลั้นและหัวใจที่ถูกเติมเต็มและพร้อมเผื่อแผ่ความรักต่อพี่น้องเพื่อนฝูง เริ่มทำการเรียกร้องชาวตะวันตกให้เห็นถึง “คุณค่าของความรักและความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องระหว่างมนุษย์” ด้วยกัน หนึ่งในบรรดาผู้เรียกร้องนั้นคือ นาซิบ อริดาฮฺ ผู้ริเริ่มทำการปลุกระดมให้เกิด “การมีมนุษยธรรม” ในจิตใจของชาวตะวันตก ผู้ซึ่งหัวใจของพวกเขาเปรอะเปื้อนด้วยรสนิยมวัตถุและถูกทำให้ตาบอด หูหนวกด้วยเสียงดังกึกก้องของเครื่องจักร
“โอ้ เพื่อนของฉัน โอ้ ผู้ร่วมทางของฉัน โอ้ เพื่อนร่วมงานของฉัน ความรักที่ฉันมีต่อท่านนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือเป็นความปรารถนาเพื่อที่จะตั้งเงื่อนไขบางอย่างกับท่าน จงตอบฉันด้วยการกล่าวว่า “โอ้ พี่น้องของฉัน โอ้ เพื่อนของฉัน” และกล่าวซ้ำอีกครั้ง เพราะว่ามันเป็นคำพูดที่สวยงามที่สุด หากท่านปรารถนาที่จะเดินเพียงลำพัง หรือหากท่านเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายในตัวฉัน ก็ไม่เป็นไร ท่านจงเดินตามทางของท่านต่อไปเถิด หากแต่ท่านจะได้ยินเสียงของฉัน ร้องเรียกว่า “โอ้ พี่น้องของฉัน” ขอให้ท่านรับข้อความนี้เถิด และเสียงสะท้อนของความรักจากฉันจะไปถึงท่านไม่ว่าท่านจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม แล้วท่านจะเข้าใจความงดงาม และความประเสริฐของมัน”[5]
ความหนักหน่วงของชีวิตแบบวัตถุนิยมในตะวันตกกลายเป็นเรื่องหนักหนาเกินกว่าที่ ยูซูฟ อัซอัส ฆอนิม จะทนรับได้ ทำให้เขาไม่สามารถฝืนทนกับการมีชีวิตที่เต็มไปด้วยปัญหาและจมอยู่ในทะเลแห่งวัตถุนิยมนี้ได้อีกต่อไป อีกทั้งมันยังทำให้จิตวิญญาณของเขาขาดซึ่งความสดชื่น ความเป็นสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ความรู้สึกอ่อนโยนทางอารมณ์นั้นหายไป เช่นนั้นแล้วเขาจึงปรารถนาที่จะไปอยู่ในดินแดนอาหรับที่เป็นโลกแห่งอิสลาม ดินแดนที่ท่านศาสนทูตถือกำเนิด และบ้านแห่งความรัก ความเป็นพี่น้อง และความบริสุทธ์ เขาปรารถนาว่าเขาจะได้อาศัยในเต็นท์อาหรับและละทิ้งโลกอันศิวิไลซ์ที่เต็มไปด้วยเสียงและแสงไฟอันเร่าร้อน
“หากว่าฉันนั้นเกิดมามีชีวิตในดินแดนอาหรับ ฉันจะทำการสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ สำหรับชีวิตที่แสนสั้น หากแต่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์บนโลกนี้ที่ซึ่งพระองค์นั้นถูกรักโดยหัวใจของประชาชาติ ฉันเหน็ดเหนื่อยกับความเป็นไปของโลกตะวันตก ซึ่งความเหน็ดเหนื่อยของมันก็เบื่อหน่ายตัวฉันเช่นกัน – จงนำเอารถยนต์ทั้งหลายของท่าน เครื่องบินหลายลำของท่านออกไป และนำเอาอูฐและม้ามาให้แก่ฉัน – จงนำเอาโลก ดินแดน ทะเล ท้องฟ้าของชาวตะวันตกออกไป และนำเอาเต้นท์ของชาวอาหรับมาให้แก่ฉัน “เต็นท์” ที่ฉันจะนำไปปัก ณ ที่ใดที่หนึ่งบนภูเขาลูกใดลูกหนึ่งในบ้านเกิดของฉัน “เลบานอน” หรือ หาดบาราด้า หรือชายฝั่งของไทกริสและยูไฟรติส หรือชนบทของอัมมาน หรือ ทะเลทรายแห่งซาอุดิอารเบีย หรือในแคว้นที่ไม่มีใครรู้จักในเยเมน หรือบนเนินของปิระมิด หรือโอเอซิสแห่งลิเบีย … จงนำเอาเต็นท์อาหรับมาให้ฉัน และฉันจะถ่วงมันไว้เพื่อต้านโลกทั้งใบ และ..” [6]
งานเขียนของนักเขียนชาวอาหรับที่อพยพเหล่านั้นมีการแสดงออกในท่วงทำนองที่เหมือนกัน หากแต่มันก็เพียงพอที่จะยกตัวอย่างได้ว่า งานเขียนของพวกเขานั้นได้แสดงออกซึ่งความรู้สึกของผู้ที่รอคอยความสมบูรณ์ของอารมณ์ที่พวกเขาระลึกถึงเมื่อย้ายเข้ามาอยู่ในโลกตะวันตก ประสบการณ์ที่ปลุกให้พวกเขารอคอยการกลับไปยังโลกตะวันออกที่ซึ่งมี “อิสลามซึ่งแพร่ไปด้วยความรัก ความเป็นพี่น้อง ความรู้สึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแน่นแฟ้น”
อิสลามได้เพาะหว่านเมล็ดพันธ์แห่งความรักและการสานสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องขึ้นในจิตวิญญาณของผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการศาสนา อีกทั้งยังสร้างแรงสนับสนุนให้พวกเขาทำความรู้จักและแบ่งปันกัน การเยี่ยมเยียนกันในหมู่พวกเขา การเชิญชวนผู้อื่นสู่การรวมตัวกันนั้น ได้ถูกบรรยายไว้ว่าเป็นหมู่คนที่ประเสริฐที่สุด“ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่านคือผู้ที่ให้อาหาร (แก่พี่น้อง) ด้วยความเต็มใจ และตอบรับการทักทายด้วย สลาม” [7]
ท่านศาสนทูต ได้บอกข่าวดีแก่ผู้ที่มีจิตใจเมตตากรุณา ต่อบรรดาบุรุษและสตรี ว่าพวกเขาจะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้เข้าสู่สวนสวรรค์ด้วยความสันติ “จงแพร่ “สลาม” ให้อาหาร (แก่พี่น้อง) อย่างสมบูรณ์ รักษาความสัมพันธ์กับเครือญาติ และละหมาดยามค่ำคืน ในยามที่ผู้คนต่างหลับไหน และเข้าสู่สวนสวรรค์อย่างสันติ” [8]
ท่านศาสนทูต ได้ให้สัญญาต่อบรรดาผู้ที่มีจิตใจเมตตา เอื้อเฟื้อ ด้วยสถานที่อันพิเศษในสวนสวรรค์แก่พวกเขา “ในสวนสวรรค์นั้น มีห้องจำนวนหลายห้องที่ภายนอกสามารถมองเห็นได้จากภายใน และภายในมองเห็นได้จากภายนอก อัลลอฮฺ ตะอาลาได้ทรงเตรียมสถานที่เหล่านั้นให้แก่ผู้ที่ให้อาหารแก่พี่น้องของเขาอย่างอุดมสมบูรณ์ ผู้ที่อ่อนโยนในคำพูด ผู้ที่ถือศีลอดอย่างสม่ำเสมอ และผู้ที่ละหมาดยามค่ำคืน ในเวลาที่ผู้คนต่างหลับใหล” [9]
เธอไม่ลืมขอดุอาอฺให้แก่พี่น้องของเธอ
มุสลิมะฮฺผู้ที่หัวใจของเธอถูกเติมเต็มด้วยความหอมหวานของความศรัทธาย่อมมีความปรารถนาต่อพี่น้องของเธอ เช่นเดียวกับที่เธอปรารถนาแก่ตัวเธอเอง เช่นนั้นแล้ว เธอจะไม่ลืมที่จะขอดุอาอฺให้กับพี่น้องของเธอ แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนก็ตาม ซึ่ง “ดุอาอฺ” นี้เปี่ยมด้วยความอบอุ่น ความรักอันบริสุทธิ์และความเป็นพี่น้องแห่งอิสลาม เธอรู้ดีว่าการดุอาอฺเช่นนั้น จะเป็นวิธีการที่ทำให้เธอได้รับการตอบรับจากอัลลอฮฺ อย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากความรู้สึกที่บริสุทธิ์และอบอุ่น และเจตนาอันงดงามของเธอ — ซึ่งมีการยืนยันถึงการตอบรับของอัลลอฮฺ จากคำพูดของท่านศาสนทูต “การขอดุอาอฺที่จะได้รับการตอบรับอย่างเร็วที่สุด คือการวอนขอของบุคคลหนึ่งที่มีต่อพี่น้องของเขา ในยามที่เขาไม่อยู่ (ลับหลัง)” [10]
บรรดาเศาะฮาบะฮฺต่างเข้าใจใน “การขอดุอาอฺ” ดังกล่าวนี้เป็นอย่างดี เพราะพวกท่านเองก็เคยขอให้กับพี่น้องของท่าน การขอดุอาอฺในขณะที่ประสบกับสถานการณ์นั้น การวิงวอนดุอาอฺจะได้รับการตอบรับ บรรดาบุรุษและสตรีต่างได้รับสิทธิในการวิงวอนอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งถือเป็นการแสดงออกขั้นสูงของผู้คนในสังคม ตลอดช่วงเวลาทองของประวัติศาสตร์
อิหม่ามบุคอรียฺรายงาน ในอัล-อะดาบ อัล-มุฟร็อด จากซอฟวาน อิบนุ อัลดุลลอฮฺ อิบนุ ซอฟวาน ภรรยาของเขา คือ อัล-ดัรดาอฺ บินติ อบีดัรดาอฺ กล่าวว่า “ฉันเดินทางไปเยี่ยมพวกเขาที่ดามัสกัส และได้พบกับ อุมมุ อัลดัรดา อยู่ในบ้าน หากแต่ อะบู ดัรดา ไม่อยู่ที่นั่น นาง (อุมมุ อัลดัรดา) ถามฉันว่า “ท่านต้องการไปทำพิธีฮัจญ์หรือ” ฉันจึงตอบว่า “ใช่แล้ว” นางจึงกล่าวว่า “ท่านจงดุอาอฺให้แก่ฉันด้วยเพราะท่านศาสนทูต เคยกล่าวว่า “การวอนขอของมุสลิมต่อพี่น้องของเขานั้นจะได้รับการตอบรับ มลาอิกะฮฺอยู่ที่ศีรษะของเขา เมื่อใดก็ตามที่เขาขอดุอาอฺให้แก่พี่น้องของเขา และมลาอิกะฮฺจะกล่าวว่า “อามีน.. ขอให้ท่านได้รับสิ่งนั้นเช่นกัน” เขา (ซอฟวาน) กล่าวว่า “ฉันได้พบอะบูดัรดาที่ตลาดและเขาก็กล่าวแก่ฉันถึงสิ่งที่ท่านศาสนทูต ได้กล่าวไว้ ดังที่นางกล่าวเช่นกัน” [11]
ท่านศาสนทูต ได้ปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันให้แก่มุสลิมีนและมุสลิมะฮฺในทุกๆ โอกาส รวมทั้งการทำให้เกิดความรักอันมั่นคงต่อกันระหว่างมุสลิมด้วยกันเพื่ออัลลอฮฺ และการปลูกฝังในทัศนคติเรื่อง “ไม่ยึดเอาตนเป็นที่ตั้ง” และ “ขจัดความลำเอียงต่อตัวบุคคลและความเห็นแก่ตัว” เพื่อให้สังคมมุสลิมนั้นซึมซาบไปด้วยความรัก ความสัมพันธ์ใกล้ชิด ความสามัคคี และการไม่ถือตนเป็นใหญ่
หนึ่งในวิธีหลายวิธีที่ท่านศาสนทูต ได้บ่มเพาะความเป็นหนึ่งเดียวกันของบรรดามุสลิม คือ การโต้ตอบของท่านต่อชายผู้หนึ่ง ที่ทำการดุอาอฺเสียงดังว่า “โอ้ อัลลอฮฺ ได้โปรดอภัยโทษให้แก่ฉัน และมุหัมมัดเท่านั้นด้วยเถิด” ท่านศาสนทูต จึงกล่าวแก่ชายผู้นั้นว่า “ท่านได้ปฏิเสธ (การดุอาอฺ) ต่อพี่น้องอีกหลายคน” [12]
ด้วยวิธีการนี้ ท่านศาสนทูต ไม่ได้เพียงแค่ตักเตือนชายผู้นั้นเพียงคนเดียว หากแต่ท่านได้ปลูกฝังความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแก่ประชาชาติทั้งมวล ตลอดจนได้อบรมบรรดามุสลิมีนและมุสลิมะฮฺทุกๆ คน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน หรือเมื่อใดก็ตาม จึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่ใครคนใดคนหนึ่งจะกล่าว “ชะฮาดะฮฺ” เพียงเพื่อที่จะสะสมความดีงามให้แก่ตัวเขาเพียงผู้เดียว เพราะว่าผู้ศรัทธาที่แท้จริงนั้นย่อมปรารถนาต่อพี่น้องของเขา ดังเช่นที่เขาปรารถนาต่อตัวเขาเอง
ในบทสรุปตอนท้ายนี้
เราสามารถกล่าวได้ว่า ทั้งหมดคือคุณสมบัติที่บรรดามุสลิมะฮฺผู้ได้รับการศึกษาแห่งอิสลามพึงมี
เธอรักพี่น้องของเธอเพื่ออัลลอฮฺ และความรักที่มีต่อพวกเขานั้นมีความบริสุทธิ์
เธอมีความปรารถนาต่อพวกเขา ดังเช่นที่เธอปรารถนาต่อตัวเธอเอง
เธอปรารถนาที่จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องในอิสลาม ให้มีความเข้มแข็ง
เธอจะไม่ตัดความสัมพันธ์หรือทอดทิ้งพวกเขา
เธออดทนและให้อภัยในความผิดพลาดของพวกเขา
เธอจะไม่มีความเกลียดชัง รังเกียจและความอิจฉาริษยาต่อพวกเขา
เธอทักทายพวกเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ
เธอมีความโอบอ้อมอารีและซื่อสัตย์ต่อพวกเขา
เธอไม่นินทาว่าร้ายพวกเขา
เธอไม่ทำร้ายความรู้สึกของพวกเขาโดยการสร้างความเป็นศัตรู หรือทะเลาะเบาะแว้งกับพวกเขา
เธอมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อพวกเขา
เธอขอดุอาอฺแก่พวกเขาในยามที่พวกเขาไม่อยู่ (ลับหลัง)”
จึงไม่น่าแปลกใจว่าบุคลิกภาพของบรรดามุสลิมะฮฺที่ได้รับการอบรมขัดเกลาด้วย “อิสลาม” ย่อมมี “คุณสมบัติอันงดงามเช่นนี้เป็นแน่แท้” นี่ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่อิสลามได้นำมาซึ่งการศึกษาและการออกแบบของคุณลักษณะของมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด หรือยุคสมัยไหนก็ตาม
[1] หะดีษ เศาะหิฮฺ หัซซัน รายงานโดย ท่านติรฺมิซียฺ
[2] มุสลิม
[3] บุคอรียฺ
[4] ศาสตราจารย์ วาฮีดอุดดิน คาน
[5] ดิวาน อัล อัรวะฮฺ อัล ฮิยเราะฮฺ
[6] ดู อีซา อัล-นะอูรี, อะดาบ อัล-มะฮฺญัร ดาร อัล-มะอาริฟ บิ มิสรฺ หน้า 527
[7] หะดีษหะซัน รายงานโดย อะหฺมัด
[8] หะดีษเศาะหิฮฺ รายงานโดย อะหฺมัด และอัล ฮากีม
[9] หะดีษหะซัน รายงานโดย อะหฺมัด และ อิบนุ ฮิบบาน
[10] บุคอรียฺ
[11] บุคอรียฺ
[12] บุคอรียฺ
Read Full Post »